แฟรงค์ แลมพาร์ด: ตามรอย 1 ในท็อป 20 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล พรีเมียร์ลีก

แฟรงค์ แลมพาร์ด หนึ่งในกองกลางโดยธรรมชาติเพียงไม่กี่คนที่สามารถยิงประตูถล่มทลายจนเป็นที่เล่าขานและถูกยกให้เป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดแห่งยุค ณ เวลานั้น แน่นอนนอกจากเขาจะเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของ เชลซี แล้ว เจ้าตัวยังมีดีกรีติดหนึ่งในท็อป 20 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ พรีเมียร์ลีกอังกฤษ อีกด้วย
วันนี้เราจึงอยากจะพาแฟน ๆ 90Min ย้อนกลับไปชมที่มาที่ไปรวมถึงความยอดเยี่ยมของมิดฟิลด์จอมถล่มประตูรายนี้กับดีกรี 1 ใน 20 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ พรีเมียร์ลีก อันดับที่ 5 แฟรงค์ แลมพาร์ด...
เติบโตจาก ทัพขุนค้อน
แฟรงค์ เจมส์ แลมพาร์ด จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 1978 ในย่าน รอมฟอร์ด กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เติบโตมาในครอบครัวนักฟุตบอลโดยมี แฟรงค์ แลมพาร์ด ซีเนียร์ อดีตนักเตะและโค้ชของ เวสต์แฮม เป็นบิดา รวมถึงมีลุงอย่าง แฮร์รี เร้ดแนปป์ ยอดผู้จัดการทีมชื่อดังอีกด้วย
ปี 1994 ขณะมีอายุได้ 16 ปี แลมพาร์ด ตัดสินใจย้ายเข้าสู่อคาเดมีของ เวสต์แฮม ช่วงที่ เร้ดแนปป์ เข้ามาทำหน้าที่ผู้จัดการทีม ก่อนที่จะเซ็นสัญญาอาชีพในปีต่อมา หลังจากนั้นเขาก็ถูกส่งตัวไปให้กับ สวอนซี ยืมใช้งานในปี 1995 หลังจากหมดสัญญายืมตัวในปี 1996 เจ้าตัวได้ประเดิมสนามกับทีมชุดใหญ่ของ ทัพขุนค้อน เป็นนัดแรกในเกมที่พบกับ โคเวนทรี ก่อนที่จะโชคร้ายบาดเจ็บหนักในเกมที่พบกับ แอสตัน วิลลา ทำให้จบฤดูกาล 96-97 ลงสนามรวม 16 นัดแต่ยังทำไม่ได้สักประตูในซีซั่นนั้น
กระทั่งปี 1997-98 นัดประเดิมสนาม แลมพาร์ด ถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองก่อนจะยิงประตูชัยให้ทีมเอาชนะ บาร์นสลีย์ ไป 2-1 แถมยังทำแฮททริกได้ในเกม ลีกคัพ กับ วอลซอลล์ ก่อนจบจบซีซั่นด้วยผลงาน 9 ประตูจาก 42 เกมรวมทุกรายการ ต่อมาที่ฤดูกาล 98-99 แลมพาร์ด ที่กลายเป็นตัวหลักในทีมอย่างสมบูรณ์จัดการซัด 5 ประตูกับ 7 แอสซิสต์ในลีกพาทีมจบอันดับที่ 5 ของตารางซึ่งเป็นสถิติสูงที่สุดที่ทีมเคยทำได้มาจนถึงปัจจุบัน
ก้าวสู่ความยิ่งใหญ่กับ สิงห์บลู
หลังจากผลงานอันยอดเยี่ยมกับ เวสต์แฮม ในช่วงปี 99-01 ที่ยิงได้รวม 21 ประตูตลอด 2 ฤดูกาล ซึ่งสวนทางกับผลงานของทีมจบในอันดับ 15 จนทำให้สโมสรประกาศแยกทางกับ แฮร์รี เร้ดแนปป์ ช่วงหน้าร้อนปี 2001 รวมถึงพ่อของเขาที่ทำหน้าที่เป็นมือขวาก็ต้องอำลาสโมสรไปด้วยเช่นกัน และนั่นทำให้ แลมพาร์ด คิดทบทวนถึงอนาคตของตนเองก่อนจะตัดสินใจย้ายไปเล่นกับ เชลซี ด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ในช่วงซัมเมอร์ปีดังกล่าว
ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ แลมพาร์ด เป็นกำลังสำคัญของ คราดิโอ รานิเอรี ก่อนจะซัดไป 7 ประตูในปีแรก จากนั้นผลงานของ ซุเปอร์แฟรงค์ เริ่มมาพีคในปี 2002-03 ซึ่งเป็นปีแรกที่ โรมัน อับราโมวิช เอามาเทคโอเวอร์สโมสร โดยกดไปถึง 15 ประตูกับ 9 แอสซิสต์รวมทุกรายการ พาทีมจบอันดับที่สองก่อนที่ปีต่อมา สิงห์บลู จะเปลี่ยนผู้จัดการทีมมาเป็น "เฮียมู" โชเซ มูรินโญ ในช่วงหน้าร้อนปี 2004 หลังเพิ่งจะพา เอฟซี ปอร์โต้ คว้าแชมป์ยุโรปมาครองได้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น
อย่างที่ทราบกันดีว่า เชลซี ในยุคนั้นก้าวขึ้นมากลายเป็นยอดทีมของยุโรปได้สำเร็จพร้อมกวาดแชมป์รายการต่าง ๆ มาครองได้มากมาย เช่นเดียวกับ แลมพาร์ด ที่ผลงานภายใต้การคุมทีมของนายใหญ่ชาวโปรตุเกสก็ดีวันดีคืน ทำไป 39 ประตูกับ 33 แอสซิสต์ตลอดสองปีกับ มูรินโญ พร้อมคว้าแชมป์ลีกมาครองได้สองสมัยติดในปี 2005 และ 2006
แม้ว่าหลังจากนั้นผลงานของ สิงโตน้ำเงินคราม จะขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ฟอร์มส่วนตัวของ แลมพาร์ด ยังคงแน่นอนต่อเนื่องโดยปี 2006-07 จัดไป 21 ประตูกับ 20 แอสซิสต์ จบด้วยการคว้าแชมป์ลีกคัพ และ เอฟเอ คัพ มาครองในฤดูกาลนั้น ต่อมาที่ซีซั่น 2007-08 แม้ว่าเจ้าตัวจะมีอาการบาดเจ็บรบกวนแต่ก็ยังทำไปได้ 20 ประตูกับ 11 แอสซิสต์รวมทุกรายการ แถมยังพาทีมเข้าถึงรอบชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก น่าเสียดายที่ไปพ่ายจุดโทษต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ มอสโคว ทำได้เพียงรองแชมป์ในปีนั้น
จุดสูงสุดกับการคว้าแชมป์ ยุโรป
หลังจากทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องในยุคของ คาร์โล อันเชล็อตติ ด้วยการยิงไป 40 ประตูกับ 24 แอสซิสต์รวมทุกรายการในปี 2009-11 พร้อมกับคว้าแชมป์ลีกและ เอฟเอ คัพ มาครองได้อีกอย่างละหนึ่งสมัย การมาของนายใหญ่คนใหม่อย่าง อังเดร วิลาส โบอาส ในช่วงซัมเมอร์ปี 2011 ดูเหมือนจะทำให้ผลงานของ สิงห์บลู ออกทะเลไปไกลในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก จน เสียหมี ไม่รอช้ารีบจัดการปลดออกเขาจากตำแหน่งและให้ โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ ขึ้นมาคุมทีมชั่วคราว
หลังจากนั้นไม่นาน แลมพาร์ด จัดการทำ 1 ประตู 1 แอสซิสต์ ช่วยให้ทีมโกงความตายเอาชนะ นาโปลี มาได้ 4-1 จากที่เลกแรกบุกไปโดดอัดมา 3-1 ที่อิตาลีใน แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย แถมในรอบ 4 ทีมกับ บาร์เซโลนา เขายังทำได้ 1 แอสซิสต์จากการจ่ายทะลุช่องให้ รามิเรส หลุดเข้าไปยกบอลข้ามศีรษะ วิคตอร์ บัลเดส เป็นประตูให้ เชลซี พลิกกลับขึ้นมาได้เปรียบก่อนที่ ตอร์เรส จะยิงปิดกล่องให้ สิงโตน้ำเงินคราม ผ่านเข้าสู่รอบชิงไปพบกับ บาเยิร์น มิวนิค จนสุดท้าย พวกเขาทำสำเร็จ เฉือนชนะจุดโทษคว้าแชมป์ยุโรปมาครองสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสรได้สมใจอยากในที่สุด
หลังจากนั้นฤดูกาล 2012-13 แม้ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ จะพาทีมคว้าแชมป์ใหญ่ระดับทวีปมาครองได้สำเร็จ แต่หลังจากผลงานดูจะเริ่มไม่เข้าที เสี่ยหมี ก็จัดการลงดาบปลดนายใหญ่ชาวอิตาเลียนออกจากตำแหน่ง และแต่ตั้ง ราฟา เบนิเตซ ขึ้นมาทำทีมจนจบฤดูกาล ซึ่งผลงานของ แลมพาร์ด ภายใต้การคุมทัพของ เอล ราฟา ก็ยังคงยอดเยี่ยมซัดไป 17 ประตูรวมทุกรายการ พร้อมพาทีมชูถ้วย ยูโรปา ลีก ซึ่งนั่นเป็นการคว้าแชมป์ยุโรปทั้งสองรายการมาครองได้สองปีติดต่อกัน
บั้นปลายในเครือ เอติฮัด กรุ๊ป
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงความแชมป์แทบจะทุกรายการที่เป็นไปได้กับ เชลซี ปีสุดท้ายของเขาในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ก็ได้กลับมาร่วมงานกับอดีตนายเก่า โชเซ มูรินโญ อีกครั้ง ก่อนจะจบฤดูกาล 2013-14 ด้วยผลงาน 8 ประตูและประกาศอำลาสโมสรไปพร้อมกับสถานะตำนานนักเตะที่ยิงประตูได้สูงสุดตลอดกาลของสโมสร
ซัมเมอร์ปี 2014 แลมพาร์ด เซ็นสัญญากับ นิวยอร์ค เอฟซี ใน เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐอเมริกา แต่แล้วเจ้าตัวกลับถูกสโมสรแม่อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยืมตัวใช้งานก่อน 1 ปีในฤดูกาล 2014-15 ซึ่ง 38 นัดกับ เรือใบสีฟ้า ซุเปอร์แฟรงค์ จัดการซัดไป 8 ประตูให้กับทีม โดย 1 ในนั้นคือการยิงทีมเก่าในเกมที่ แมนฯ ซิตี้ ไล่แบ่งแต้ม สิงห์บลู 1-1 ในเกมสัปดาห์ที่ 5 ของฤดูกาลอีกด้วย
หลังจากหมดสัญญายืมตัวกับ เรือใบ แลมพาร์ด ก็ย้ายไปเล่นที่ นิวยอร์ค อย่างเต็มตัวโดยซัดไปถึง 15 ประตูตลอดสองปีจนกระทั่งประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2017 ที่ผ่านมา จากไปพร้อมกับผลงานอันยอดเยี่ยมที่ฝากเอาไว้ถึง 177 ประตูกับ 116 แอสซิสต์ตลอด 611 นัดในลีก มากที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของดาวยิงสูงสุดตลอดกาลใน พรีเมียร์ลีก เลยทีเดียว
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด