ยินดีต้อนรับ น้องใหม่หน้าเก่า เบิร์นลี่ย์ คืนสู่พรีเมียร์ลีก 2023/24 - FEATURE
หากไม่ได้ติดตามแบบลงลึก ก็อาจหลงหูหลงตาไปได้บ้างว่า ลีกล่างลงไป อีเอฟแอล แชมเปี้ยนชิพ 2022/23 ได้ข้อสรุปสำคัญแล้ว 1 อย่าง คือการที่ เบิร์นลี่ย์ การันตีการเลื่อนชั้นกลับสู่ พรีเมียร์ลีก ได้เป็นผลสำเร็จ ภายหลังบุกชนะ มิดเดิ้ลสโบรช์ 2-1 ในเกมเมื่อวันศุกร์ ซึ่งเป็นเพียงเกมที่ 39 จากทั้งหมด 46 นัด โอกาสนี้ ไปดูกันหน่อยว่าทำไม เบิร์นลี่ย์ ถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้ หลังจากตกชั้นไปเพียงปีเดียวเท่านั้น
จากไม่มีทรง...ยิงตรงสู่ พรีเมียร์ลีก
ไม่นานเกินทวนความจำ กับความล้มเหลวที่ ชอน ไดช์ ไม่อาจพา เบิร์นลี่ย์ อยู่รอดปลอดภัยต่อไปได้ใน พรีเมียร์ลีก 2021/22
การชนะได้เพียง "นัดเดียวถ้วน" ในตลอดครึ่งฤดูกาลแรก เป็นผลให้ เดอะ คลาเร็ตส์ จมลงสู่โซนแดงตั้งเนิ่นๆ และไม่อาจเด้งตัวคืนกลับมาได้เลย แม้จะมีการเปลี่ยนโค้ช ชอน ไดช์ โดนปลด และเป็น "ไมเคิ่ล แจ๊คสัน" ที่ไม่ใช่ ไมเคิ่ล แจ๊คสัน คนนั้น คุมทีมแทนในช่วง 2 เดือนสุดท้าย ก็ตาม
เบิร์นลี่ย์ มาฮึดขึ้นเอาในช่วงท้ายเดือน เม.ย. ที่ชนะ 3 เกมติดต่อกัน...แต่ก็สายไปแล้ว สุดท้ายมีอันต้องตกชั้นลงไปด้วยการเป็นอันดับ 18 ลงเตะ 38 นัด ชนะแค่ 7 เกม
เมื่อตกชั้น เบิร์นลี่ย์ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องยอมรับชะตากรรมของการ "ทีมแตก" เช่นเดียวกับหลายๆ ทีม -- นิค โป๊ป, ฟิล บาร์ดสลี่ย์, อารอน เลนน่อน, เบน มี, เอริค ปีเตอร์ส, เจมส์ ทาร์คอฟสกี้, ดไวท์ แม็คนีล จนถึง เวาท์ เวกฮอร์ทส์ แตกกระสานซ่านเซ็นไปคนทิศละทาง
และ เบิร์นลี่ย์ ถูกวางไว้เป็น "ม้านอกสายตา" เท่านั้น ของการกลับเลื่อนชั้นสู่ พรีเมียร์ลีก ในทันที ด้วยเพราะ 1. ทีมแตก ต้องสร้างขุมกำลังนักเตะขึ้นใหม่ และ 2. ตัวกุนซือก็มีการเปลี่ยนแปลง ไปใช้โค้ชมือใหม่ที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์ทำทีมชั้นนำรายใดมาก่อน
ไม่มีใครคาดคิดไว้--แม้แต่แฟนเบิร์นลี่ย์เอง ว่า แว็งซ็องต์ ก็องปานี จะทำสำเร็จภายใน 1 ปี!
ไม่ใช่ใคร... "ลูกศิษย์เป๊ป" นี่เอง
ภายหลังปิดตำนาน 2008-2019 กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (360 นัด 12 โทรฟี่) แว็งซ็องต์ ก็องปานี ย้ายกลับไปเล่นกับอู่ข้าวอู่น้ำเก่า ทีมแรกที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมาอย่าง อันเดอร์เลชท์ ภายใต้สัญญาควบ เพลเยอร์/เมเนเจอร์
แต่การกลับไปก็ไม่ได้ราบรื่นนักด้วยปัญหาบาดเจ็บเรื้อรังที่ติดตัว ทำให้ ก็องปานี (ที่ช่วงแรกล้มแผนคุมทีม เหลือลงเตะอย่างเดียว) ลงสนามไปเพียงหยิบมือ สิบกว่านัด ในที่สุดต้องตัดสินใจแขวนสตั๊ดเด็ดขาด และนั่งเก้าอี้คุมทีมเต็มตัว
และอันที่จริง ผลงานในฐานะกุนซือมือใหม่ของอดีตเซนเตอร์แบ็กคนดังก็ไม่ได้ออกมาดี ไม่ได้ระเบิดเถิดเทิงมีแชมป์ติดมือปีต่อปี เมื่อไม่ว่าจะลีกหรือบอลถ้วย อันเดอร์เลชท์ ก็ล้วนแต่ไปไม่ถึงแชมป์ในช่วงเวลาของ ก็องปานี
จนถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์วงการมากว่าจู่ๆ เบิร์นลี่ย์ ก็ไปคว้าตัว ก็องปานี มาทำทีมเฉยเลย ก่อนที่ซีซั่นใหม่ 2022/23 จะเริ่มต้นขึ้นราว 1 เดือนเศษ
แต่ภายใต้การดูแลของโค้ชมือใหม่ไร้ประสบการณ์ระดับสูง--มีแค่เคยซึมซับวิชาโค้ชจาก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อย่างเขานั้น เบิร์นลี่ย์...
- แพ้เกมเดียวจาก 19 นัดแรกของซีซั่น
- แพ้ 2 เกมเท่านั้นจนถึงตรงนี้ (นับเฉพาะ ชปช.)
- มีช่วงเข้าเบรคชนะ 10 เกมซ้อน ช่วงรอยต่อลาปีเก่าขึ้นปีใหม่
- ไม่แพ้ใครเลยตลอดครึ่งซีซั่นหลัง
ทั้งหมดทั้งปวง เท่ากับการการันตีเลื่อนชั้น (ยังไม่การันตีแชมป์) คืนสู่ พรีเมียร์ลีก ตอนต้นเดือน เม.ย. แบบที่ยังเหลือคิวเตะอีกถึง 7 นัดด้วยกัน!
เหตุผลของการเลื่อนชั้น
หนึ่งคือต้องยกย่องฝีมือการทำทีมของ ก็องปานี แต่อีกหนึ่งก็คือต้องชมเชยเจ้าของทีม ALK Capital ด้วยเหมือนกันว่า "ไม่เขียม" กับการลงทุนผ่าตัดทัพ ภายหลังทีมแตกแล้วก็ทุ่มทุนไปถึงร่วม 25 ล้านปอนด์ เพื่อเคาะปะผุด้วยนักเตะชุดใหม่เกินสิบราย
ก็องปานี อาจต้องใช้เวลาปรับตัวในช่วงแรกๆ ที่ เบิร์นลี่ย์ ชนะแค่ 1 จาก 5 เกมแรก (เสมอ 3 แพ้ 1) แต่เมื่อเครื่องติดแล้ว ก็ไปยาวๆ
- แพ้เกมเดียวจาก 19 นัดแรกของซีซั่น
ก็คือช่วงแรกนั่นเอง เกมที่ 3 ของซีซั่นนี้ ซึ่งบุกแพ้ วัตฟอร์ด 0-1 แล้วจากนั้นก็ไม่แพ้ใครอีกเลยจนเข้าสู่เดือน พ.ย.
- แพ้ 2 เกมเท่านั้นจนถึงตรงนี้
แพ้ วัตฟอร์ด ในแมตช์เดย์ที่ 3 จากนั้นก็ข้ามมาเกมที่ 20 ซึ่งแพ้ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ยับเยิน 2-5 ประเด็นก็คือ เบิร์นลี่ย์ สามารถตั้งตัวฟื้นกลับมาแกร่งได้ในทันที โดยหลังจากเกมที่รังดาบคู่แล้ว 8 วันให้หลัง พวกเขาก็ฟื้นฟอร์มถล่ม แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 3-0
- มีช่วงเข้าเบรคชนะ 10 เกมซ้อน
เริ่มจากเกมชนะ แบล็คเบิร์น 3-0 ตอนกลางเดือน พ.ย. นั่นเอง ที่ เดอะ คลาเร็ตส์ ยิงยาวเข้าเบรค ชนะถึง 10 เกมติดต่อกัน เฉี่ยวสถิติสโมสร (11 นัด 1912-1913) ไปแค่นิดเดียว
21. ชนะ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 3-0
22. ชนะ ควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส 3-0
23. ชนะ มิดเดิ้ลสโบรช์ 3-1
24. ชนะ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ 3-0
25. ชนะ สโต๊ค ซิตี้ 1-0
26. ชนะ สวอนซี ซิตี้ 2-1
27. ชนะ โคเวนทรี ซิตี้ 1-0
28. ชนะ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2-1
29. ชนะ นอริช ซิตี้ 3-0
30. ชนะ เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ 3-0
- ไม่แพ้ใครเลยตลอดครึ่งซีซั่นหลัง
เช่นกัน หลังจากแพ้ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ยับเยิน 2-5 แล้ว เบิร์นลี่ย์ ก็เด้งตัวฟื้นกลับได้ทันที และจากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่แพ้ใครเลยทั้งสิ้นจนวันนี้ มีช่วงชนะ 10 เกมซ้อนอย่างที่ร่ายไว้ข้างต้น และจากนั้นก็ชนะสลับเสมอมาเรื่อยๆ รวมแล้วชนะ 15 เสมอ 4
- ทำงานกันเป็นทีม
11 คนแรกของ ก็องปานี ที่เราอาจไม่คุ้นเคยกันเท่าไหร่ (ระบบ 4-2-3-1 เป็นหลัก) มักประกอบด้วย อารียาเน็ต มูริช - ยาน มาตเซ่น, จอร์แดน เบเยอร์, อามีน อัล-ดาคิล, คอนเนอร์ โรเบิร์ตส์ - จอช บราวน์ฮิลล์, จอช คัลเลน - อานาสส์ ซารูรี่, โยฮันน์ เบิร์ก กุ๊ดมุนส์สัน, เนธาน เทลล่า - แอชลี่ย์ บาร์นส์ (หรือ เจย์ โรดริเกซ)
และต้องบอกว่า เบิร์นลี่ย์ ทำงานกันเป็นทีม คนที่โดดเด่นกว่าเพื่อนหน่อยมีแค่ เนธาน เทลล่า ปีกตัวยืมจาก เซาแธมป์ตัน ซึ่งกดไป 17 ประตู รั้งอันดับ 3 ดาวซัลโว ชปช. (ทำ 2 แฮตทริกในช่วงไม่กี่เกมหลัง) หรือ จอช บราวน์ฮิลล์ ที่ทำแล้ว 8 แอสซิสต์, นายประตู อารียาเน็ต มูริช ที่ทำ 15 คลีนชีต จนถึง ยาน มาตเซ่น แบ็กซ้ายตัวยืมจาก เชลซี เจ้าของรางวัลแข้งยอดเยี่ยม ชปช. ประจำเดือน ม.ค. 2023
แต่ก็แปลกดีว่า รุ่งขึ้นหลังการันตีเลื่อนชั้นแล้ว แอชลี่ย์ บาร์นส์ (33) หอกคนดีคนเดิมที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่ปี 2014 ได้ประกาศชัดแล้วว่า จะอำลาทีมไปเมื่อหมดสัญญาหลังจบซีซั่นนี้ ไม่ไปต่อแล้วแม้จะได้เล่นใน พรีเมียร์ลีก อีกครั้งก็ตาม
เบิร์นลี่ย์ มาแล้ว ใครจะตามมาอีก?
ชปช. ยังเหลือเกมให้โรมรันกันอีกพักหนึ่งอย่างที่ได้เกริ่นไปแล้ว และเกมนัดที่ 40/41 (40 ของบางทีม 41 ของส่วนใหญ่) ก็จะมาต่อเนื่องในคืนวันจันทร์นี้ ภายหลังหยุดพักแค่เสาร์อาทิตย์ จากที่เพิ่งเตะเกม 39/40 กันในคืนวันศุกร์ พรวดเดียว 12 คู่
นาทีนี้ รัศมีแจ่มว๊าววับวาวสุดคือ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
พลพรรค "ดาบคู่" ในการทำทีมของ พอล เฮ็คกิ้งบอทท่อม เข้าใกล้ เบิร์นลี่ย์ มากกว่าใคร และก็ทิ้งระยะเหนืออันดับ 3 ลูตัน ทาวน์ อยู่พอตัวทีเดียว ที่ 8 แต้ม--แถมแข่งน้อยกว่าอยู่ 1 นัด
- 2) เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 39 76
3) ลูตัน ทาวน์ 40 68
4) มิดเดิ้ลสโบรช์ 40 67
5) มิลล์วอลล์ 40 62
6) แบล็คเบิร์น 39 61
7) นอริช ซิตี้ 40 60
8) เปรสตัน 40 59
9) โคเวนทรี ซิตี้ 40 58
ดังจะเห็นว่า เชฟฯ ยูฯ มีภาษีดีสุดในการยึดอันดับ 2
แต่สำหรับ "โซนเพลย์ออฟ" เบอร์ 3-6 ที่จะได้ไปชี้ชะตาต่ออีกหน่อยนั้น ยังเข้าข่ายได้ลุ้นหมดเลยตั้งแต่อันดับ 3 ไล่ลงมายันที่ 9
อาจใช่ที่ ลูตัน ทาวน์ (68) หรือ เดอะ โบโร่ (67) ทิ้งระยะเหนืออีก 2 ทีมล่างอยู่พอสมควร แต่ช่องห่างระหว่างอันดับ 6 แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส กับอันดับ 9 โคเวนทรี ซิตี้ เบียดแคบเพียง 3 คะแนนเท่านั้น
นั่นหมายถึงการปรับเปลี่ยนตำแหน่งในกลุ่มนี้ (อันดับ 6-7-8-9) สามารถเกิดขึ้นได้ในเพียงเกมสองเกม และมีเวลาเหลือเฟือให้พลิกสถานการณ์ กว่าซีซั่นปกติจะสิ้นสุดในวันที่ 8 พ.ค.
สรุป ณ ตรงนี้ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด มีโอกาสมากสุดในการเป็นที่ 2 ที่จะเลื่อนชั้นอัตโนมัติตาม เบิร์นลี่ย์ มาทีหลัง แต่สำหรับโซนเพลย์ออฟ 3-6 ยังต้องดูกันต่ออีกสักหน่อย
แล้วใครจะไม่ได้ไปต่อ?
ว่ากันมาถึงเรื่องเลื่อนชั้นแบบเต็มเหยียด ก็ขอทิ้งท้ายไปด้วยความเคลื่อนไหวของโซนท้ายตาราง ทีมที่มีโอกาสตกปุ๊ลงไปอยู่ ลีก วัน กันพอเป็นกระสัย
อาจไม่เบียดไหล่ชนไหล่เหมือน พรีเมียร์ลีก ที่มีทีมหนีตายเกาะกลุ่มกันอยู่เพียบ ชปช. ซีซั่นนี้ น่าจะ "คัดทิ้ง" ได้แล้ว 2 ราย คือรองบ๊วย แบล็คพูล 35 แต้ม กับบ๊วย วีแกน แอธเลติก ที่มี 34 แต้ม (โดนหักไป 3 แต้ม ข้อหาการเงิน)
สองทีมที่ว่า ตามหลังโซนปลอดภัยอยู่ 7 และ 8 แต้มตามลำดับ -- อาจยังไม่ขาดลอย แต่สภาพของทั้งสองที่มีแต่สาละวันเตี้ยลง แพ้เป็นเรื่องธรรมชาติ ก็ทำให้โอกาสเก็บแต้มเพื่อพลิกกระดานเหลือน้อยมากแล้ว
ส่วนอีก 1 โควตาสุดท้าย ไฮเวย์ ทู เฮล ไปแย่งชิงหนีตายกัน 5 ทีม
18) ร็อตเตอร์แฮม 39 44
19) คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 39 42
20) ฮัดเดอร์สฟิลด์ 40 42
21) ควีนส์พาร์ค 40 42
22) เร้ดดิ้ง 40 41
ที่จริง เร้ดดิ้ง จะไม่อยู่ตรงนี้เลยถ้าพวกเขาไม่โดนพิษเศรษฐกิจเข้าให้อีกราย จนโดนหักถึง 6 แต้มเต็มใบ เพราะถ้ามี 6 แต้มนั่นมาช่วย อันดับตอนนี้จะเด้งไปอยู่ที่ 18 แล้วปล่อยให้อีก 4 ทีมที่เหลือหนีตายกันไป
แต่เมื่อโดนหักไปเรียบร้อย ก็อย่างที่เห็นล่ะค่ะคุณขา
จากสมาชิกพรีเมียร์ลีกที่ไม่นานเกินฟื้นความจำ ยุค ฮัล ร็อบสัน-คานู, อดัม เลอ ฟอนเดร้, อาเดรียน มาริอัปป้า, เอียน ฮาร์ท, พาเวล โพเกร็บเนี้ยค นาทีนี้ เร้ดดิ้ง กำลังเสี่ยงที่จะตกชั้นเป็นทีมที่ 3 แม้แต้มยังไม่ขาดและมีช่องให้ดิ้นสู้ต่อก็ตาม
ก็พร้อมกันกับการ "ยินดีต้อนรับ" เบิร์นลี่ย์ คืนสู่พรีเมียร์ลีก ไม่แน่ไม่นอนว่าเราก็อาจต้องโบกมือลา เร้ดดิ้ง จมยาวๆ สู่ ลีก วัน ในคราวเดียวกัน