"สงครามกุหลาบ" ความแค้นระหว่าง แมนยู-ลีดส์ ที่มีความหมายมากกว่าแค่เกมฟุตบอล - FEATURE

Leeds United Own Goal
Leeds United Own Goal / Ross Kinnaird/GettyImages
facebooktwitterreddit

หลังจากห่างหายไปนานกว่า 13 ปีกับการต้องตกลงไปเล่นในลีกรองของ ลีดส์ ยูไนเต็ด การทั่งการกลับมาสู่ พรีเมียร์ลีก อีกครั้งเมื่อปี 2020 ทำให้แฟน ๆ เริ่มกล่าวถึงประวัติศาสตร์ความแค้นอันยาวนานของ "สงครามกุหลาบ" ที่ว่ากันว่ายุคหนึ่งมันเป็นยิ่งกว่าศึก "แดงเดือด" ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ในปัจจุบันเสียอีก

"สงครามกุหลาบ" คืออะไร

หากจะหาต้นตอของคำ ๆ นี้ จำเป็นต้องย้อนกลับราวศตวรรษที่ 15 สมัยยุคกลางของประเทศอังกฤษที่สองตระกูลอย่าง แลนคาสเตอร์ และ ยอร์ก ใช้เวลาห้ำหั่นทำสงครามเพื่อแย่งชิงบัลลังก์กันเป็นเวลายาวนานกว่า 30 ปี ผลัดกันขึ้นครองราชสลับกันไปมา ก่อนที่สุดท้าย เฮนรี ทิวดอร์ จะจบศึกแห่งสองตระกูลนี้ด้วยการสังหารพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 แห่งยอร์กในสมรภูมิบอสเวิร์ธและสถาปนาราชวงศ์ทิวดอร์ขึ้นมาแทนที่ในที่สุด ซึ่งตราของตระกูลทิวดอร์นี้เองที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปกุหลาบขาวในกุหลาบแดง

หลังจากนั้นคนก็มักจะเล่าต่อ ๆ กันมาถึงสงครามของทั้งสองตระกูลโดยอ้างอิงจากตรากุหลาบแดงกุหลาบขาวโดยยกให้ แลนคาสเตอร์ เป็นกุหลาบแดง และ ยอร์ก เป็นกุหลาบขาว แถมยิ่งตอกย้ำเรื่องราวมากขึ้นไปอีกเมื่อ วิลเลียม เช็กสเปียร์ กวีชื่อดังนำเรื่องราวนี้ไปแต่งเป็นบทละครโดยใช้กุหลาบทั้งสองสีเป็นตัวแทนของทั้งสองราชวงศ์ ก่อนจะถูกส่งต่อเรื่องราวนี้มาเรื่อยจนมาถึงยุคหลัง

Stained Glass Tudor Roses in York Minster
Stained Glass Tudor Roses in York Minster / Angelo Hornak/GettyImages

ความขัดแย้งที่ไม่เคยจางหาย

แม้ว่าการรบกันของสองตรกูลจะสิ้นสุดลงไปตั้งแต่ปี 1485 แต่การความคับแค้นที่ถูกส่งผ่านมาโดยเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ระหว่างแคว้น แลนคาเชียร์ กับ ยอร์คเชียร์ มันยังคงอยู่ผ่านการผลิตซ้ำทางความคิดของคนจากทั้งสองพื้นที่ ซึ่งมันยิ่งทวีความดุเดือดมากขึ้นไปอีกช่วงศตวรรษที่ 19 ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งนี่คือสาเหตุที่ทำให้ทั้งสองดินแดน "เหม็นหน้า" กันมาจนถึงทุกวันนี้

ในยุคดังกล่าว เมืองแมนเชสเตอร์แห่งแลนคาเชียร์ คือเมืองที่มั่งคั่งมากที่สุดเบียดแซงหน้า ลิเวอร์พูล ด้วยการขุดคลองแมนเชสเตอร์ยิงตรงจากทะเลไอริชเข้าสู่ตัวเมือง ดึงความเจริญรุ่งเรื่องเข้ามาในพื้นที่จนกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมแถวหน้าของโลกในยุคนั้น

แต่แน่นอนนั่นย่อมสงผลกระทบต่อเมืองข้างเคียงที่ห่างออกไปราว 80 กิโลเมตรทางตะวันออกนั่นคือ เมืองลีดส์แห่งยอร์กเชียร์ ที่โดน แมนเชสเตอร์ เบียดแย่งความเป็นมหาอำนาจทางธุรกิจเครื่องนุ่งห่มไปอยู่ในมือแต่เพียงผู้เดียวจากการที่สามารถผลิตฝ้ายขึ้นมาได้แทนที่การใช้ขนสัตว์ ซึ่งนั่นส่งผลต่อปากท้องของชาวเมืองลีดส์โดยตรง และเป็นที่มาของความเกลียดชังของคนสองพื้นที่จนแทบจะมองหน้ากันไม่ติดเลยก็ว่าได้

80th Anniversary Of Wannsee Conference Nears
80th Anniversary Of Wannsee Conference Nears / Sean Gallup/GettyImages

ฟุตบอล การห้ำหั่นด้วยศักดิ์ศรี

เราทราบถึงปูมหลังความขัดแย้งในเชิงการเมืองการปกครองรวมถึงด้านเศรษฐกิจและปากท้องของทั้งสองฝั่งมาแบบคร่าว ๆ แล้ว นั่นทำให้การทำความเข้าใจต่ออารมณ์ร่วมและความรู้สึกเกลียงชังจาก 2 เมืองในแง่มุมที่เล็กลงมาอย่าง "ฟุตบอล" อาจทำได้ง่ายขึ้น

สองทีมนี้อันที่จริงก็เป็นสองสโมสรของอังกฤษที่ต้องโคจรมาพบกันอยู่เรื่อย ๆ ตามโปรแกรมการแข่งขันเช่นเดียวกับในปัจจุบัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะสลับกันไปมาตามวิถีของฟุตบอล กระทั่งกลางทศวรรษที่ 1950 ยุคที่ ปีศาจแดง มีบรมกุนซืออย่าง เซอร์ แมตต์ บัสบี้ เวลานั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นหนึ่งสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรปนั่นรวมถึงการที่พวกเขาผูกขาดการเอาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด มาตลอดโดยเคยทำได้มากที่สุดถึง 8 จาก 9 เกมติดต่อกัน อีกทั้งช่วงเวลานั้น แมนยู มีหัวหอกทะลวงฟันอย่าง เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ขณะที่ ลีดส์ มี แจ็ค ชาร์ลตัน พี่ชายแท้ ๆ ยืนเป็นปราการหลังตัวเก่งซึ่งนั่นเพิ่มดีกรีในการพบกันของทั้งสองทีมได้เป็นอย่างดี

Bobby Charlton
Football Player Bobby Charlton / Evening Standard/GettyImages

แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในยุคที่ ลีดส์ ที่กุนซืออย่าง ดอน เรวีย์ ที่นับตั้งแต่ปี 1965 พวกเขาไม่เคยแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด เลยต่อเนื่องติดต่อกันถึง 18 เกม ซึ่งยุคดังกล่าวเป็นยุคทองของ ยูงทอง ที่สามารถคว้าทั้งแชมป์ลีก เอฟเอ คัพ ลีก คัพ มาครองได้ แน่นอนสร้างความคับแค้นในใจสาวก ปีศาจแดง ที่ยุคนั้นกลายเป็นยุคมึดของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย กระทั่งการลาออกจากทีมไปรับงามคุมทีมชาติอังกฤษของ เรวีย์ เมื่อปี 1974 ทำให้ ลีดส์ เขาสู่ขาลงอีกครั้ง บวกกับช่วงนั้น ลิเวอร์พูล ได้สถาปนาตัวเองขึ้นมาผูกขาดความยิ่งใหญ่แทนที่มาจนกระทั่งถึงยุค 80

อย่างไรกตาม ระหว่างความเกลียดชังยังเหมือนจะรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปคว้าตัว 2 สตาร์จาก ลีดส์ อย่าง โจ จอร์แดน และ กอร์ดอน แมคควีน ในปี 1978 ซึ่ง แมคควีน เองยิงสองประตูในเกมแรกของการเยือนทีมเก่าที่ เอลแลนด์ โร้ด ช่วยให้ ปีศาจแดง บุกมาเอาชนะไปได้ 3-2 อย่างเจ็บแสบ ขณะที่เกมต่อมา แอนดี้ ริตชี ยิงแฮททริกช่วยให้ ยูงทอง บุกมาแก้เค้นคืนด้วยสกอร์ 1-4

กระทั่งต้นยุค 90 ลีดส์ ยูไนเต็ด ถือเป็นสโมสรสุดท้ายที่คว้าแชมป์ ดิวิชั่น 1 มาครองได้เมื่อปี 1992 ในยุคของ ฮาเวิร์ด วิลคินสัน ซึ่งก็เป็นการปาดหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชูถ้วยได้สำเร็จ แต่ก็อย่างที่ทราบกันดีหลังจากฤดูกาลนั้นลีกสูงสุดของอังกฤษเปลี่ยนชื่อมาเป็น พรีเมียร์ลีก และ ปีศาจแดง ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็แทบจะผูกขาดชัยชนะเหนือ ลีดส์ แถมยังสร้างความเดือดดาลให้กับแฟนบอลมากขึ้นด้วยการไปสอย เอริค คันโตนา สตาร์จาก ลีดส์ มาร่วมทีมเมื่อปลายปี 1992

Eric Cantona scores Manchester United v Sunderland 1996
Eric Cantona scores Manchester United v Sunderland 1996 / Mark Thompson/GettyImages

การมาของ เอริค คันโตนา ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จอย่างสูง แถมยังเพิ่มดีกรีความเข้มข้นขึ้นไปอีกจากการที่ดาวยิงชาวฝรั่งเศสดาหน้ายิงประตูใส่ทีมเก่า และไม่ลืมที่จะอาลัยอาวรต้นสังกัดด้วยการดีใจใส่หน้าแฟนบอล ลีดส์ ด้วยท่ากางแขนสุดยียวนในเกมนัดสุดท้ายที่ ฮาเวิร์ด วิลคินสัน คุมทีม ยูงทอง ซึ่งภาพนั้นยังคงตราตึงอยู่ในใจของผู้ศรัทธาแห่ง เอลแลนด์ โร้ด ยุคเก่ามาจนถึงปัจจุบัน

น่าเสียดายที่ต้นยุค 2000 ลีดส์ กลับเข้าสู่ยุคมึดอีกครั้งจนถึงขั้นต้นชั้นไปในปี 2004 แต่กระนั้นก็มิวายทำแสบด้วยการบุกมาปาดคอ ปีศาจแดง ถึง โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในเกม เอฟเอ คัพ เมื่อปี 2010 จากประตูชัยของ เจอร์เมน เบ็คฟอร์ด ซึ่งนี่ถือเป็นการบุกมาชนะที่ โรงละครแห่งความฝัน เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1981 เลยทีเดียว

Leeds United's English forward Jermaine
Leeds United's English forward Jermaine / PAUL ELLIS/GettyImages

อย่างไรก็ตามตั้งแต่การกลับขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งของ ยูงทอง ในปี 2020 ดูยังไม่มีวี่แววว่า ลีดส์ จะสามารถทวงความยิ่งใหญ่ใน "สงครามกุหลาบ" ได้ โดย 4 เกมที่พบกัน ปีศาจแดง ชนะ 3 เสมอ 1 ซึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ถลุงไปถึง 15 ประตู นั่นก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ปัจจุบันศึกนี้อาจจะไม่ได้อยู่ในสายตาของแฟนบอลมากเท่ากับ เกมแดงเดือด หรือ แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ที่มีเรื่องของฐานแฟนบอลรวมถึงอันดับบนตารางคะแนนเป็นเดิมพัน ก็ต้องมาลุ้นกันว่า 2 เกมจากนี้ที่ทั้งคู่จะต้องทำศึก "สงครามกุหลาบ" แบบสองนัดเหย้าเยือนติดกัน ยูงทอง ที่เพิ่งจะเปลี่ยนกุนซือแบบสด ๆ ร้อน ๆจะทำแสบอะไรกับ ปีศาจแดง ที่กำลังแอบหวังลึก ๆ ว่าจะกลับไปลุ้นแชมป์อีกครั้งสัปดาห์นี้ได้หรือไม่ ?


สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด