7 เมษายน 2024 "แดงเดือดครั้งสุดท้าย" กับ 3 ฉากจบของบทละครระหว่าง ลิเวอร์พูล และ เยอร์เก้น คล็อปป์ - FEATURE
เรียกได้ว่าเป็นศึก "แดงเดือด" เฉพาะกิจก็ว่าได้สำหรับเกม เอฟเอ คัพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล ถูกจับมาชนกันโดยมิได้นัดหมาย ซึ่งก็อย่างที่ทราบกันดีว่าเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ทำได้ดีกว่าและเป็นผู้ชนะไปแบบไร้ข้อกังขาด้วยสกอร์สุดมันส์ 4-3
สำหรับรูปเกมคงไม่ต้องบรรยายอะไรมากกับการแลกหมัดผลัดกันนำผลัดกันตามชนิดที่ต้องยื้อกันจนถึง 120 นาที ต่างฝ่ายต่างมีช่วงเวลาได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งสุดท้ายเป็น ปีศาจแดง ที่ฉวยโอกาสที่มีได้ดีกว่ากับการชิงยิงประตูชัยในช่วงต่อเวลานาทีสุดท้ายทำให้ หงส์แดง ไม่มีเวลาได้แก้ตัวและต้องตกรอบไปในที่สุด
แน่นอนว่าหากมองว่าซีซั่นนี้เป็นละครในช่องของ ลิเวอร์พูล ทีวี นี่ก็เปรียบเสมือนเนื้อเรื่องที่มี แมนยู เป็นหนึ่งในตัวร้ายคนสำคัญที่คอยขัดขวางไม่ให้ ลิเวอร์พูล และ คล็อปป์ ลงเอยด้วยความสมหวังกับปณิธานการคว้า 4 แชมป์ส่งท้ายนายใหญ่ผู้เคารพรัก หลังจากถูกตัวร้ายคู่ปรับตลอดกาลเตะออกจากเส้นทางการล่าแชมป์ เอฟเอ คัพ ซึ่งมันเจ็บแสบมากกว่าการโดนทีมอื่นเขี่ยตกรอบหลายเท่าตัว
อย่างไรก็ตามละครเรื่องนี้มันยังไม่จบลงเพราะสาวก เดอะค็อป ยังมีอีก 2 รายการให้ต้องลุ้นกันหลังจากคว้าแชมป์ คาราบาว คัพ มาครองได้ก่อนหน้านี้ ซึ่งสองถ้วยที่เหลือพวกเขาล้วนแต่ยังอยู่บนเส้นทาง ทั้ง พรีเมียร์ลีก ที่รั้งอันดับสองแต่แต้มเท่ากับจ่าฝูง อาร์เซนอล เป๊ะ ๆ เพียงแค่ผลต่างประตูได้-เสียเป็นรองเท่านั้น ขณะที่ ยูโรปาลีก ก็ทะลุเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปเรียบร้อยด้วยฟอร์มอันไร้เทียมทานพร้อมกับถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งของรายการอีกด้วย
นั่นทำให้ช่วงเบรกทีมชาติสัปดาห์นี้ทั้ง ลิเวอร์พูล และแฟนบอลเองจะมีเวลาพักรักษาแผลใจจากความเจ็บช้ำในเกมล่าสุด รีสตาร์ท ลืมความผิดหวังและทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเพื่อหวังจะเขียนฉากจบอีก 2 รายการให้มันสมหวังมากที่สุด โดย ณ เวลานี้ก็ยังยากที่คาดเดาได้จนกว่าจะถึงเกมสุดท้ายของฤดูกาล
สำหรับ ยูโรปาลีก คู่แข่งของ หงส์แดง ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายนี้คือ อตาลันต้า ที่ปีนี้ผลงานดร็อปลงไปเล็กน้อยแต่ฟอร์มโดยรวมก็ยังถือว่าไม่ธรรมดา ซึ่งหากผ่านไปได้จะต้องไปพบกับผู้ชนะระหว่าง เบนฟิก้า กับ โอลิมปิก มาร์เซย ขณะที่อีกฟากมีทีมอย่าง เอซี มิลาน โรมา เวสต์แฮม และ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ของ ชาบี อลอนโซ โดยหลายคนคาดหวังว่าจะได้เห็น หงส์แดง เข้าชิงกับ ทีมห้างขายยา มันคงจะเป็นเป็นคู่ชิงชนะเลิศในฝันสำหรับ สาวกเดอะค็อป เลยก็ว่าได้
แต่ที่สำคัญที่สุดคือเกมลีกกับ 3 ทีมที่มีลุ้นแชมป์ซึ่งเส้นทางของแต่ละทีมก็ไม่ง่ายเพราะยังมีเกมสำคัญ ๆ ที่จะมีส่วนในการตัดสินแชมป์ได้อีก ทั้งการพบกันเองของ อาร์เซนอล และ แมนฯ ซิตี้ รวมถึงอีกหนึ่งเกมที่หลายคนมองข้ามไปแล้วก่อนหน้านี้นั่นคือเกม "แดงเดือด" ที่จะลงแข่งกันอีกครั้งในวันอาทิตย์ที่ 7 เมษายนที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด รังเดิมสนามเดิมที่พวกเขาเพิ่งจะโดนเชือดกลับมาแบบสด ๆ ร้อน ๆ
อย่างที่กล่าวไปว่าก่อนหน้านี้แฟน ๆ หงส์แดง เองล้วนแต่โฟกัสไปที่เกมระหว่าง อาร์เซนอล กับ แมนฯ ซิตี้ จนเกมที่ ลิเวอร์พูล จะพบกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในลีกนั้นแทบไม่อยู่ในสายตาของแฟน ๆ หงส์แดง เลยแม้แต่น้อยเพราะมองว่าด้วยฟอร์มก่อนหน้านี้ยังไงก็ผ่านได้สบาย ๆ จนกระทั่งเห็นผลงานของ ปีศาจแดง ที่หลังจากได้รับพลังบลัฟตัวร้ายทำให้ดูจะคึกคักดุดันเป็นพิเศษเมื่อต้องรับบทเป็นคนขัดแข้งขัดขาคู่รักคู่แค้นตลอดกาลไม่ให้ละครเรื่องนี้จบลงแบบสมหวัง ซึ่งความพ่ายแพ้ของ หงส์แดง ในเกมล่าสุดนี้มันจึงไปเพิ่มดีกรีความสำคัญของเกม "แดงเดือด" ให้กลับมากลายเป็นเกมที่แฟนบอลทั้งสองทีมจดจ่อและกลับมามีไฟเชียร์ทีมรักแบบสุดใจกันอีกครั้ง
นอกจากนั้นสิ่งที่จะเพิ่มดีกรีให้กับเกมนัดนี้เข้าไปอีกคือมันจะเป็น "แดงเดือด" ครั้งสุดท้ายของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่กำลังจะโบกมือลา ลิเวอร์พูล หลังจบฤดูกาลนี้แถมยังประกาศชัดเจนว่าจะไม่คุมทีมอื่นในอังกฤษอีกต่อไปแล้ว นั่นหมายความว่านอกจากเกมนี้จะเป็นเกมที่สามารถตัดสินจุดจบของละครเรื่องนี้แล้ว ยังเป็นโอกาสท้ายสุดของ คล็อปป์ ที่จะได้ล้างตาทีมคู่แค้นในฐานะผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล อีกด้วย !
ฉนั้นเกม "แดงเดือด" วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายนนี้ในฐานะที่จะเป็นนัดตัดสินฉากจบเรื่องราวความรักของละครเรื่องนี้ได้นั้น หากลองวิเคราะห์ดูเล่น ๆ แล้วคงจะมีฉากจบอยู่ 3 แบบด้วยกัน
แบบแรกคือฉากจบแบบ Happy Ending พระเอกในท้องเรื่องอย่าง เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถล้างตาตัวร้ายอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จและผงาดแซง อาร์เซนอล และ แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ลีกมาครองได้สำเร็จ
แบบที่สองคือฉากจบแบบ Sad Ending คือแม้พระเอกอย่าง คล็อปป์ จะชนะตัวร้ายได้ล้างตาได้สำเร็จในการดวลกันครั้งสุดท้าย แต่พวกเขาพลาดการคว้าแชมป์ลีกในบั้นปลาย
แบบที่สามคือฉากจบแบบ Bad Ending ที่ตัวร้ายอย่าง แมนยู สามารถย้ำชัยและขวางไม่ให้ ลิเวอร์พูล กับ เยอร์เก้น คล็อปป์ แยกทางกันแบบสมหวังด้วยน้ำมือของพวกเขาเอง
อย่างที่บอกไปว่าจนถึงตอนนี้ยังคงยากจะคาดเดาว่าสุดท้ายแล้วละครเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร แต่เชื่ออย่างยิ่งเลยว่าเกม "แดงเดือดครั้งสุดท้าย" หรือ "The Last Red War" นี้จะเป็นเกมที่สามารถตัดสินและเขียนหน้าประวัติศาสตร์ของทั้งสองทีม แม้จะเป็นเพียงบรรทัดสั้น ๆ จากประวัติศาสตร์อันยาวนานของทั้งคู่ แต่มันก็จะเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่จะถูกกล่าวขานเกี่ยวกับจุดจบของ ลิเวอร์พูล กับ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่มีตัวร้ายอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้ามามีบทบาทสำคัญในการตัดสินฉากสุดท้ายของละครนั่นเอง...