นิวคาสเซิ่ล กับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในความทรงจำ...ที่นานจนแทบนึกไม่ออก! - FEATURE
เมื่อการโรมรันของ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ กำลังจะสิ้นสุดลง ก็หมายถึงว่า นอกเหนือจากนัดชิงชนะเลิศบอลถ้วยรายการต่างๆ อันรวมถึง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และอีก 2 ถ้วยเล็กแล้ว เกมฟุตบอลยุโรปก็จะเหมือนถูกแช่แข็งไว้อีกครั้งสำหรับช่วงปิดซีซั่น ก่อนค่อยๆ กระเทาะเปลือกเคาะสนิมกันใหม่ในเกมปรีซีซั่น ตอนกลางเดือน ก.ค. เป็นต้นไป
แต่ทีมที่กำลังรอคอยให้ซีซั่นใหม่เริ่มต้นอีกครั้งอย่างใจระทึก หนึ่งในนั้นก็คงมี นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ซึ่งจะได้เริ่มต้นการผจญภัยในถ้วยใหญ่สุดอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง
โอกาสนี้ ลองไปทบทวนความจำสีจางๆ กันหน่อย ว่า นิวคาสเซิ่ล กับ ชปล. มันเคยเกิดอะไรขึ้นแบบไหนอย่างไรกันบ้าง
1997/98 สวัสดี ชปล.
จากจุดเริ่มต้นของ พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปีเดียวกัน (1992/93) ที่จริง ณ ตอนนั้น นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ยังเป็นทีมลีกรอง ดิวิชั่น 1 โบราณ อยู่เลย แต่ก็ครองแชมป์เลื่อนชั้นขึ้นมาสมทบลีกสูงสุดในเวลาอันรวดเร็ว ที่สำคัญคือ เควิน คีแกน สามารถพาทัพสาลิกาเข้าป้ายติดอันดับสูงๆ ของพรีเมียร์ลีกได้ทันทีตั้งแต่ขยับขึ้นมา รวมถึงมีลุ้นแชมป์จริงจังด้วยในซีซั่น 1995/96 ที่หากเป็นแฟนบอลรุ่นเก่าหน่อย ก็คงพอนึกออกถึงการพลาดท่าเสียทีทำแชมป์ "หลุดมือ" ไปเองของ นิวคาสเซิ่ล
โชคร้ายคูณสอง ว่าในซีซั่นนั้นที่อุตส่าห์จบสูงถึงรองแชมป์แล้ว ยูฟ่า กลับยังคงจำกัดสิทธิ์ผู้เข้าร่วมเล่น ชปล. ในระบบ "คัดเอาเฉพาะแชมป์" เท่านั้น เท่ากับ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ไปถ้วยใหญ่ ส่วน นิวคาสเซิ่ล ได้ไปแค่ ยูฟ่า คัพ
จนการตีตั๋วเข้าเล่น ชปล. หนแรก เกิดขึ้นในยุค เคนนี่ ดัลกลิช ที่เข้ามาสานต่องานจาก คีแกน -- 1996/97 ที่จริงๆ ก็ยังจบอันดับ 2 ซ้ำเก่านั่นแหละ แต่หนนี้ ยูฟ่า เปิดทางให้ได้เข้าร่วมเล่น ชปล. แล้วในรอบคัดเลือกรอบ 2 ของซีซั่น 1997/98
การได้ประเดิมเตะ ชปล. หนแรก ทำให้บอร์ด นิวคาสเซิ่ล อนุมัติงบเสริมทัพให้ ดัลกลิช ไม่น้อยทีเดียว จนได้ของใหม่อย่าง เชย์ กิฟเว่น, ยอน ดาห์ล โทมัสสัน, อเลสซานโดร ปิสโตเน่, อันเดรียส อันเดอร์สสัน และ แกรี่ สปีด เข้าเสริมทัพ แม้ในคราวเดียวกันแฟนๆ จะต้องเซ็งกับการเห็นทั้ง ดาวิด ชิโนล่า (สเปอร์ส), เลส เฟอร์ดินานด์ (สเปอร์ส) และ ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า (ปาร์ม่า, ย้ายหน้าหนาว) ย้ายออกก็ตาม
ไม่พลาดสำหรับรอบคัดเลือก ที่ นิวคาสเซิ่ล ผ่าน โครเอเชีย ซาเกร็บ ด้วยชัยชนะ 2-1 จากเกมแรก และการไล่ตามตีเสมอ 2-2 (เตมูรี่ เคตส์บาย่า) ตอนต่อเวลาของเลก 2 นัดตัดสินที่โครเอเชีย
จากนั้นเป็นรอบแบ่งกลุ่ม ที่ นิวคาสเซิ่ล ได้อยู่ร่วมกับ บาร์เซโลน่า, ดินาโม เคียฟ และ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น
เกมแห่งความทรงจำเกิดขึ้นตั้งแต่แมตช์แรก ในการเปิด เซนต์ เจมส์ พาร์ค รับมือ บาร์ซ่า ยุคที่นำมาโดย ริวัลโด้, หลุยส์ ฟิโก้, หลุยส์ เอ็นริเก้ และ ซอนนี่ อันแดร์สัน ซึ่งปรากฏว่า นิวคาสเซิ่ล ทะยานนำห่างถึง 3-0 ในเพียงต้นครึ่งหลัง จากการเหมาซัดคนเดียวของ ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า (22, 31, 49) ซึ่ง บาร์ซ่า ก็ทำดีที่สุดแค่ตีตื้นเป็น 3-2 (เอ็นริเก้, ฟิโก้) เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อีก 4 เกมถัดมา นิวคาสเซิ่ล ไม่อาจเอาชนะใครเพิ่มได้เลย -- เสมอ ดินาโม เคียฟ 2-2, บุกแพ้ พีเอสวี 0-1, แพ้ พีเอสวี คาบ้าน 0-2, ออกไปโดน บาร์ซ่า เอาคืน 1-0
จนกว่าที่จะชนะได้อีกทีก็เกมปิดกลุ่ม อัด ดินาโม เคียฟ 2-0 ซึ่งไม่เพียงพอให้ได้ไปต่อ จบเป็นอันดับ 3 ของกลุ่มเท่านั้น
2002/03 การผจญภัยอันยาวไกล
หายหน้าจากถ้วยบิ๊กเอียร์ไปหนึ่งรอบบอลโลก นิวคาสเซิ่ล ก็ได้กลับสู่ ชปล. อีกครั้งในซีซั่น 2002/03 ซึ่ง เซอร์ บ๊อบบี้ ร็อบสัน ผู้ล่วงลับ สามารถทำทีมยึดอันดับ 4 โควตาสุดท้ายของ ชปล. ได้ในซีซั่นก่อนหน้า
โดยไม่มีใครคาดคิด การเข้ามาร่วมสาดแข้ง ชปล. หนนี้ จะสร้างการผจญภัยอันแสนยาวไกลให้กับพวกเขามากถึง 14 นัดด้วยกัน
- รอบคัดเลือกรอบ 3 (เยือน) ชนะ เซเลซนิการ์ 1-0
รอบคัดเลือกรอบ 3 (เหย้า) ชนะ เซเลซนิการ์ 4-0
รอบแบ่งกลุ่ม (เยือน) แพ้ ดินาโม เคียฟ 0-2
รอบแบ่งกลุ่ม (เหย้า) แพ้ เฟเยนูร์ด 0-1
รอบแบ่งกลุ่ม (เยือน) แพ้ ยูเวนตุส 0-2
รอบแบ่งกลุ่ม (เหย้า) ชนะ ยูเวนตุส 1-0
รอบแบ่งกลุ่ม (เหย้า) ชนะ ดินาโม เคียฟ 2-1
รอบแบ่งกลุ่ม (เยือน) ชนะ เฟเยนูร์ด 3-2
รอบแบ่งกลุ่ม รอบ 2 (เหย้า) แพ้ อินเตอร์ 1-4
รอบแบ่งกลุ่ม รอบ 2 (เยือน) แพ้ บาร์เซโลน่า 1-3
รอบแบ่งกลุ่ม รอบ 2 (เยือน) ชนะ เลเวอร์คูเซ่น 3-1
รอบแบ่งกลุ่ม รอบ 2 (เหย้า) ชนะ เลเวอร์คูเซ่น 3-1
รอบแบ่งกลุ่ม รอบ 2 (เยือน) เสมอ อินเตอร์ 2-2
รอบแบ่งกลุ่ม รอบ 2 (เหย้า) แพ้ บาร์เซโลน่า 0-2
ก็ทั้งยาวนานและขึ้นสุดลงสุดเป็นรถไฟเหาะ นิวคาสเซิ่ล ที่นำขบวนโดย อลัน เชียเรอร์, โนลเบร์โต้ โซลาโน่, เจอร์เมน จีนัส, เคร็ก เบลลามี่ หวิดจะตกรอบแรกอยู่แล้วจากการแพ้ 3 เกมซ้อน แต่แล้วก็ฮึดขึ้นไล่ตบ ยูเว่, เคียฟ, เฟเยนูร์ด คืน 3 เกมติด จนเข้ารอบแบ่งกลุ่มรอบ 2 (ระบบตอนนั้นเป็นแบบนี้ แล้วจึงค่อยคัดเอาเข้าน็อกเอาต์) ซึ่งก็แพ้รวดอีกใน 2 เกมแรก แล้วจึงค่อยมาฮึดชนะ เลเวอร์คูเซ่น แบบไปกลับ
เพียงแต่การเสมอ อินเตอร์ ที่อิตาลี กับแพ้ บาร์ซ่า คาบ้าน ในสองเกมท้าย ก็ทำให้ นิวคาสเซิ่ล ถูกหยุดเส้นทาง ชปล. เอาไว้เท่านี้ ที่การเป็นอันดับ 3 กลุ่มเอ รอบแบ่งกลุ่มรอบ 2
2003/04 ฝันค้างอย่างเจ็บปวด
ภายหลังตกรอบแบ่งกลุ่มรอบ 2 ชปล. 2002/03 แล้ว นิวคาสเซิ่ล ของท่านเซอร์ บ๊อบบี้ ร๊อบสัน ก็กลับไปสร้างมาตรฐานสูงในพรีเมียร์ลีก และเข้าป้ายยึดอันดับ 3 ได้อย่างสวยงาม เหนือทั้ง เชลซี, ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส จนได้ตั๋วเข้าเล่นรอบคัดเลือกรอบ 3 ชปล. ซีซั่นถัดมา
แต่ในขณะที่บรรดา ทูน อาร์มี่ กำลังมองข้ามช็อต กะเก็งกันว่าจะได้ไปเจอใครบ้างในรอบแบ่งกลุ่ม เรอัล มาดริด? ยูเวนตุส? บาเยิร์น? จะต้องล็อกคิวลางานกันวันไหน หรือแลกเงินสกุลอะไรไว้รอ
ปาร์ติซาน เบลเกรด ก็โผล่มาจากข้างหลัง แล้วสับฝ่ามือลงบนหัวสาลิกาดังป้าบ!
เพราะทั้งที่เลกแรก นิวคาสเซิ่ล บุกไปกำชัยถึงเซอร์เบียมาแล้ว 1-0 จากการสังหารของ น็อบบี้ โซลาโน่ แต่ปรากฏว่าเมื่อกลับมาเฝ้า เซนต์ เจมส์ พาร์ค แล้ว สาลิกาก็ดันพ่ายคารัง 0-1 จนต้องต่อเวลา--และสุดท้ายตัดสินแบบ "50-50" ที่การดวลจุดโทษ เมื่อไม่อาจเจาะตาข่าย ปาร์ติซาน เข้าได้เลยทั้งใน 90 และ 120 นาที
ซ้ำร้าย ในการดวลเป้าชี้ขาด ขุนพลนิวคาสเซิ่ล ก็ดันยิงพลาดถึง 4 คน - เชียเรอร์, คีรอน ดายเออร์, โจนาธาน วู้ดเกต, อารอน ฮิวจ์ส จนบทสรุปคือ ปาร์ติซาน กำชัย 4-3 จนหลุดเข้ารอบแบ่งกลุ่มแทนที่ นิวคาสเซิ่ล เสียเฉยๆ
เท่ากับหลังจากเตะกันจนขาลาก 14 นัดในซีซั่นก่อนหน้า การตะลุย ชปล. ของพวกเขากลับถูกตัดจบเพียง 2 นัดถ้วนเท่านั้นในซีซั่นนี้
ร้ายกว่านั้นอีกคือ ทูน อาร์มี่ ต้องรออีกถึง 20 ปีกว่าที่ ชปล. จะได้แวะเวียนมาหาพวกเขาอีกรอบ!
2023/24 อยู่กับใคร ไปตรงไหน...รอก่อน
กับ ชปล. 2023/24 ที่จะมาถึงในอีกหลายเดือนข้างหน้า ณ ตอนนี้ ข้อมูลเบื้องต้นที่พอทราบคร่าวๆ คือ นิวคาสเซิ่ล จะออกสตาร์ทด้วยการมีค่าสัมประสิทธิ์ UEFA club coefficient ต่ำสุดๆ ไปเลยหลังหลุดออกจาก ชปล. มานาน 2 ทศวรรษ
หมายความต่อมาว่า, แม้ไม่ต้องเตะรอบคัดเลือก, พวกเขาจะถูกวางไว้เป็นทีมใน "โถ 3" หรือไม่ก็ "โถ 4" สำหรับการจับสลากรอบแบ่งกลุ่ม วันที่ 31 ส.ค. (ก่อนเริ่มสาดแข้งกลางเดือน ก.ย.)
และยังหมายความต่อไปอีกว่า พวกเขาจะต้องเจอ "ของแข็งต่างชาติ" แน่ๆ ในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งอาจเป็นได้ทั้ง บาร์เซโลน่า, เรอัล มาดริด, บาเยิร์น มิวนิค, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง, เอซี มิลาน, นาโปลี หรือบรรดาแชมป์ของลีกต่างๆ
ยังมีการเปิดเผยว่า จากเงินรายได้ในลักษณะ "พูล" ที่ ยูฟ่า วางไว้ 1 ก้อนให้บรรดาผู้เข้าร่วม ชปล. ได้แชร์กันนั้น นิวคาสเซิ่ล จะทำเงินจากตรงนี้ได้น้อยที่สุดในบรรดาตัวแทนพรีเมียร์ลีก จากเหตุผลเดียวกันคือ ค่าสัมประสิทธิ์ต่ำสุดหลังหลุดจากการแข่งขันมานาน
ในขณะที่ แมนฯ ซิตี้ มีการันตีส่วนแบ่งแง่นี้เริ่มต้นที่ 58 ล้านปอนด์ ทางฝั่ง นิวคาสเซิ่ล จะเริ่มต้นที่เพียง 21.5 ล้านปอนด์ เท่านั้น รวมถึงน้อยกว่าทั้ง อาร์เซน่อล และ แมนฯ ยูไนเต็ด (ที่น่าจะได้มา) เช่นกัน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะเจอกับใคร จะได้เงินมากน้อยเท่าไหร่ ก็ล้วนแต่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ
สำคัญสุดคือ นิวคาสเซิ่ล ได้คืนสู่ ชปล. แล้ว และจะมีเกมให้ได้ร่วมสนุกอย่างน้อย 6 นัดด้วยกัน...หลังจากรอคอยค่ำคืนแบบนี้มานานแสนนานถึง 20 ปีเต็ม!