ที่นี่ แอนฟิลด์...ฟื้นความจำ 'แดงเดือด' ครั้น ลิเวอร์พูล เปิดรังปะทะ แมนยู 5 ครั้งหลัง - FEATURE
อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า การศึกสุดเดือดที่คอลูกหนังรอคอย ก็จะมาถึง
แม้สถานการณ์บนอันดับตารางจะต่างกัน และฟอร์มช่วงหลังก็แตกแถวแตกแนว โดยเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ทรงดีกว่าชัด แต่เด็กของ เอริค เทน ฮาก ก็ไม่อาจติดประมาท ลิเวอร์พูล ได้แม้แต่น้อย
โดยเฉพาะกับข้อเท็จจริงที่คะคานกันอยู่ เมื่อพบว่า "ที่นี่แอนฟิลด์" ลิเวอร์พูล ข่มผีแบบมิดด้ามตลอดหลายปีหลัง
ลองย้อนความทรงจำกันหน่อย ที่ไม่แน่ว่า หากพิจารณากันอย่างลงลึกแล้ว เราก็อาจ "ถอดรหัส" ออก เผื่อจะมองเห็นอะไรบางอย่างก่อนที่ แดงเดือด ณ แอนฟิลด์ จะใส่กันให้ยับในค่ำคืนนี้...
2017/18
ลิเวอร์พูล 0-0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เสาร์ 14 ตุลาคม 2017
ถัดจากหนสุดท้ายที่ เวย์น รูนี่ย์ ลั่นไกหักปีกหงส์ถึงแอนฟิลด์ 2015/16 แล้ว ก็เข้าสู่ช่วงที่ ลิเวอร์พูล กุมความได้เปรียบเหนือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบที่ไม่มีหลุดแพ้คา แอนฟิลด์ อีกจนวันนี้
เกมช่วงต้นซีซั่น 2017/18 ที่เป็นการปะทะกันของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ โชเซ่ มูรินโญ่ ต่างฝ่ายต่างขาดคีย์แมนบางคนไป และไม่ใช่ชุดที่ดีที่สุดระดับเต็มร้อยนัก
ลิเวอร์พูล คุมเกมดีกว่าในช่วงแรก และน่าขึ้นนำได้หลังผ่านครึ่งชั่วโมงแรก ฟีร์มิโน่ ปาดจากซ้ายมาให้ โจเอล มาติป แปจ่อๆ ติดขา ดาบิด เด เคอา หวุดหวิด บอลยังเด้งมาเข้าทาง โม ซาลาห์ ซัดซ้ำดาบสอง ก็หลุดกรอบไปอย่างน่าเสียดาย
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ลุ้นจากโอกาสจะแจ้งครั้งแรกตอนปลายครึ่งแรก นาที 43 เมื่อ ซาลาห์ เสียบอลกลางทางจนโดนสวน โรเมลู ลูกากู ทำชิ่งกับ มาร์กซิยาล ทะลุเข้าไปส่องด้วยซ้ายข้างถนัด ไม่ผ่านมือ ซิมง มินโยเล่ต์
ครึ่งหลัง เกมยังคงคู่คี่สูสี และยิงนกตกปลากันไปเองเสียหมด จนที่สุดแล้วแดงเดือดครั้งนี้ก็จบลงแบบจืดๆ 0-0
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล : ซิมง มินโยเล่ต์, เดยัน ลอฟเรน, โจ โกเมซ, อัลเบร์โต้ โมเรโน่, โจเอล มาติป, จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ (แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ น.79), จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เอ็มเร่ ชาน, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ (โดมินิก โซลันกี้ น.87), โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน น.78)
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ดาบิด เด เคอา, ฟิล โจนส์, คริส สมอลลิ่ง, แอชลี่ย์ ยัง (วิกเตอร์ ลินเดลอฟ น.89), มัตเตโอ ดาร์เมียน, อันเดร์ เอร์เรร่า, เฮนริค มคิตาร์ยาน (เจสซี่ ลินการ์ด น.63), อันโตนิโอ วาเลนเซีย, เนมานย่า มาติช, โรเมลู ลูกากู, อองโตนี่ มาร์กซิยาล (มาร์คัส แรชฟอร์ด น.65)
2018/19
ลิเวอร์พูล 3-1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
อาทิตย์ 16 ธันวาคม 2018
ผู้ทำประตู : 1-0 ซาดิโอ มาเน่ น.24, 1-1 เจสซี่ ลินการ์ด น.33, 2-1 เซอร์ดาน ชากิรี่ น.73, เซอร์ดาน ชากิรี่ น.80
เกมที่มาในช่วงโปรแกรมชุกทั้งสองฝั่ง โดยเฉพาะ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ โชเซ่ มูรินโญ่ เลือกปรับถึง 9 ตำแหน่งจากเกมแพ้ บาเลนเซีย ก่อนหน้านั้น จนเป็น 11 คนแรกหน้าตาแปลกๆ ที่มี มัตเตโอ ดาร์เมี่ยน, เอริก ไบยี่, ดีโอโก้ ดาโล่ต์, แอชลี่ย์ ยัง หรือ เจสซี่ ลินการ์ด ลงตัวจริง
หลังจากที่บดอยู่เกือบจะฝ่ายเดียวตั้งแต่เริ่มเกม ลิเวอร์พูล ก็ขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 24 ฟาบินโญ่ ตักบอลข้ามแนวรับไปให้ ซาดิโอ มาเน่ พักบอลแล้ววอลเลย์เปรี้ยงเดียวด้วยซ้ายส่งลูกผ่าน เด เคอา เข้าไป
แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ตามตีเสมอ 1-1 ได้เร็วในนาทีที่ 33 จากความผิดพลาดของ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ที่เก็บลูกเปิดจากสุดเส้นหลังของ ลูกากู ไม่อยู่ กระฉอกมาเข้าทาง เจสซี่ ลินการ์ด เช็คบิลนิ่มๆ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คาดหวังถึง 1 แต้มเป็นอย่างน้อยจากเกมนี้ ลิเวอร์พูล ก็มาบวกพรวดเดียว 2 ประตูในช่วงท้าย เริ่มจาก นาที 73 มาเน่ โยกหลบ มาติช แล้วยัดแรงเข้าตรงกลาง เด เคอา ใช้เท้าสกัดบอลออกมาเข้าทางตัวสำรอง เซอร์ดาน ชากิรี่ ที่เพิ่งลงมาได้แค่ 3 นาที แปสวนไม่เหลือ
ต่อด้วยนาที 81 ฟีร์มิโน่ จ่ายย้อนหลัง ซาลาห์ แต่กลายเป็นดีเพราะยังมี ชากิรี่ วิ่งมาซัดด้วยซ้ายแฉลบ เอริก ไบยี่ เปลี่ยนทางมุดเสาเข้าไป ปิดเกมให้ ลิเวอร์พูล ชนะ 3-1 และเพียงข้ามคืนหลังจากนั้นไม่กี่วัน มูรินโญ่ ก็โดนปลดพ้นไปจากเก้าอี้กุนซือปีศาจแดง
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล : อลิสซอน เบ็คเกอร์, เนธาเนียล ไคลน์, เดยัน ลอฟเรน, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, ฟาบินโญ่, จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, นาบี เกอิต้า (เซอร์ดาน ชากิรี่ น.70), โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, ซาดิโอ มาเน่ (จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น.84), โมฮาเหม็ด ซาลาห์
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ดาบิด เด เคอา, ดีโอโก้ ดาโล่ต์ (มารูยาน เฟลไลนี่ น.46), วิกเตอร์ ลินเดลอฟ, เอริก ไบยี่, แอชลี่ย์ ยัง, มัตเตโอ ดาร์เมี่ยน, อันเดร์ เอร์เรร่า (อองโตนี่ มาร์กซิยาล น.79), เนมานย่า มาติช, เจสซี่ ลินการ์ด (ฆวน มาต้า น.85), มาร์คัส แรชฟอร์ด, โรเมลู ลูกากู
2019/20
ลิเวอร์พูล 2-0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
อาทิตย์ 19 มกราคม 2020
ผู้ทำประตู : 1-0 เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ น.14, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ น.90+3
สบายๆ เกินคาดสำหรับ ลิเวอร์พูล ในการรับมือ แมนฯ ยูไนเต็ด ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่มีปัญหาตัวเจ็บเยอะจนต้องส่งนักเตะอย่าง แบรนดอน วิลเลี่ยมส์, อันเดรียส เปเรยร่า, เฟร็ด, เนมานย่า มาติช, หรือ แดเนี่ยล เจมส์ ลงตัวจริง
เปิดเกมขึ้นไม่นาน นาที 14 ลิเวอร์พูล ก็ขยับสกอร์นำอย่างรวดเร็วจากลูกเตะมุม เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เปิดไปหน้าประตู เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เทกตัวโขกตุงตาข่ายง่ายๆ 1-0
ครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ยังส่งบอลเข้าตุงตาข่ายเพิ่มได้อีกสองครั้ง น.24 ฟีร์มิโน่ ได้ปั่นด้วยขวาเสียบเสา และ น.35 ไวจ์นัลดุม หลุดเดี่ยวเข้าไปยิงล่อเป้า แต่ทั้งสองหนล้วนแต่โดน VAR ยกเลิกประตูด้วยเป็นจังหวะฟาวล์และล้ำหน้า ตามลำดับ
และแม้เกมจะเป็น ลิเวอร์พูล ที่บุกใส่แทบจะวันเวย์ แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็หาโอกาสโต้ขึ้นไปจนเกือบทวงคืนได้เหมือนกันใน น.59 อองโตนี่ มาร์กซิยาล ทำชิ่งกับ อันเดรียส เปเรยร่า หลุดเข้าเขตโทษไปกดด้วยซ้ายข้ามคานน่าเสียดาย
สุดท้ายท้ายสุดเมื่อตีคืนไม่ได้ ลิเวอร์พูล ก็บวกเพิ่มเป็น 2-0 ทดเจ็บนาทีที่ 3 อลิสซอน เบ็คเกอร์ สาดยาวให้ โม ซาลาห์ หลุดเดี่ยวครึ่งสนามเข้าไปซัดสวนตัว เด เคอา ตุงตาข่ายไม่เหลือ ปิดเกมให้ เดอะ ค็อป เฮฮาเต็มเหนี่ยว
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล : อลิสซอน เบ็คเกอร์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน (อดัม ลัลลาน่า น.66), โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ (ฟาบินโญ่ น.83), ซาดิโอ มาเน่ (ดิว็อค โอริกี้ น.83), โมฮาเหม็ด ซาลาห์
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ดาบิด เด เคอา, อารอน วาน-บิสซาก้า, วิกเตอร์ ลินเดลอฟ, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุค ชอว์ (ดีโอโก้ ดาโล่ต์ น.87), แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ (ฆวน มาต้า น.74), อันเดรียส เปเรยร่า (เมสัน กรีนวู้ด น.74), เฟร็ด, เนมานย่า มาติช, อองโตนี่ มาร์กซิยาล, แดเนี่ยล เจมส์
2020/21
ลิเวอร์พูล 0-0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
อาทิตย์ 17 มกราคม 2021
เป็นอีกครั้งที่ แดงเดือด ไม่เดือดอย่างที่คาดหวัง แม้ 11 คนแรกของสองฝั่งจะค่อนข้างใกล้เคียงกับไลน์อัพทุกวันนี้มากทีเดียวก็ตาม
หลังจากครึ่งแรกที่จืดๆ ไม่มีสกอร์ ครึ่งหลัง น.65 แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ลุ้นประตูขึ้นนำ บรูโน่ แฟร์นันเดส ได้ลองซัดจากนอกเขตโทษ บอลพุ่งแรงแต่ก็เข้าซอง อลิสซอน รับไว้เข้าอก
นาทีที่ 75 แมนยู เกือบได้ประตูขึ้นนำอีกครั้ง ลุค ชอว์ สอดขึ้นมาเปิดหักเข้าในภึง บรูโน่ แฟร์นันเดส ได้แปจ่อๆ ก็ยังไม่ผ่านเซฟของ อลิสซอน เบ็คเกอร์
ช่วงท้ายสองฝ่ายมีโอกาสกันคนละหนสองหน แต่นายทวารสองทีมต่างทำหน้าที่ได้ไม่มีผิดพลาด จนที่สุดแล้วก็จบที่ 0-0
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล : อลิสซอน เบ็คเกอร์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม (เจมส์ มิลเนอร์ น.89), ฟาบินโญ่, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ติอาโก้ อัลกันตาร่า, เซอร์ดาน ชากิรี่ (เคอร์ติส โจนส์ น.76), โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ (ดิว็อค โอริกี้ น.85), ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ดาบิด เด เคอา, อารอน วาน-บิสซาก้า, วิกเตอร์ ลินเดลอฟ, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุค ชอว์, เฟร็ด, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, ปอล ป๊อกบา, บรูโน่ แฟร์นันเดส (เมสัน กรีนวู้ด น.89), อองโตนี่ มาร์กซิยาล (เอดินสัน คาวานี่ น.61), มาร์คัส แรชฟอร์ด
2021/22
ลิเวอร์พูล 4-0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
อังคาร 19 เมษายน 2022
ผู้ทำประตู : 1-0 หลุยส์ ดิอาซ น.5, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ น.22, 3-0 ซาดิโอ มาเน่ น.68, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ น.85
ชัยชนะขาดลอยที่แอนฟิลด์ มาต่อเนื่องจากการที่ ลิเวอร์พูล บุกเผา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วยสกอร์เละเทะ 5-0 ช่วงต้นซีซั่น อันแสดงให้เห็นว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ของ ราล์ฟ รังนิค เป็น "ยุคมืด" อย่างแท้จริง
ลิเวอร์พูล ลุยใส่แต่ต้นและก็ดาหน้ายิงแบบรัวๆ เริ่มตั้งแต่ น.6 โม ซาลาห์ หลุดขึ้นไปทางกราบขวา ก่อนจ่ายเข้ากลางให้ หลุยส์ ดิอาซ ชาร์จจากระยะเผาขนเป็น 1-0
น.22 สกอร์ฉีกเป็น 2-0 มาเน่ ตวัดลูกให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หลุดเข้าเขตโทษก่อนแปด้วยซ้ายสวนทาง เด เคอา เข้าไป
ให้หลังสิบกว่านาที ฟาบินโญ่ จ่ายหักข้อไปหน้าประตู หลุยส์ ดิอาซ ได้ซัดโล่งๆ เข้าประตูไป แต่ไลน์แมนยกธงเป็นลูกล้ำหน้า ลูกสามจึงยังไม่มา
แต่แม้กระนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ปวกเปียกเกินต้าน น.68 หงส์แดงมาได้ประตูที่ 3 สมใจ หลุยส์ ดิอาซ จ่ายหักข้อจากฝั่งซ้ายให้ ซาดิโอ มาเน่ แปต่อไม่จับด้วยซ้าย บอลพุ่งเสียบเสาสวยๆ
ปิดท้าย น.85 ดีโอโก้ โชต้า ไหลทะลุแผงหลังทีมเยือนให้ ซาลาห์ หลุดเข้าเขตโทษไปซัดแฉลบบล็อก อารอน วาน-บิสซาก้า จนลูกลอยข้ามหัว เด เคอา เข้าประตูไป ปิดกล่องที่ชัยชนะขาดลอย 4-0 และทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในบ้าน มายาวนานถึง 6 ปีซ้อนแล้ว
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล : อลิสซอน เบ็คเกอร์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจเอล มาติป, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ติอาโก้ อัลกันตาร่า (นาบี เกอิต้า น.80), ฟาบินโญ่ (เจมส์ มิลเนอร์ น.86), หลุยส์ ดิอาซ (ดีโอโก้ โชต้า น.70), ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ดาบิด เด เคอา, ดีโอโก้ ดาโล่ต์, อารอน วาน-บิสซาก้า, วิกเตอร์ ลินเดลอฟ, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ฟิล โจนส์ (เจดอน ซานโช่ น.46), เนมานย่า มาติช, ปอล ป๊อกบา (เจสซี่ ลินการ์ด น.10), บรูโน่ แฟร์นันเดส, แอนโธนี่ อีลันก้า (ฮันนิบาล เมจ์บรี น.84), มาร์คัส แรชฟอร์ด