แล้วก็หมดแรงยื้อ : เมื่อ เซาแธมป์ตัน (เตรียม) ตกชั้นจาก พรีเมียร์ลีก หลังอยู่โยง 11 ปี - FEATURE
เพราะแม้จะยังไม่เป็นทางการ แต่ระหว่าง 100% กับ 99.99% ก็แทบไม่ต่าง ซึ่งตัวเลขชุดหลังคือการประเมินโอกาสตกชั้นจาก พรีเมียร์ลีก ของ เซาแธมป์ตัน ที่ให้หลังจากความพ่ายแพ้สุดระทึก 3-4 ต่อ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เมื่อวันจันทร์แล้ว ก็พูดได้เลยว่า การจะอยู่รอดต่อไปอีกปีของทัพนักบุญ ใกล้เคียงกับ "ปาฏิหาริย์" ทีเดียว
11 ปีแห่งความหลัง
คงไม่ต้องย้อนไปไกลถึงยุค อลัน เชียเรอร์, แม็ทธิว เลอ ทิสซิเอร์ หรือ เจมส์ บีทตี้ ที่เป็นภาพจำของ เซาแธมป์ตัน ยุค 90 จะพบว่าทีมนักบุญแดนใต้เคยตกต่ำอย่างหนักถึงขั้นไปคลุกฝุ่นใน ลีก วัน มาแล้ว เมื่อช่วงปี 2009-2011
เคราะห์ยังดีที่ไม่เลวร้ายไปกว่านั้น เซาแธมป์ตัน ยังเลื่อนชั้นขึ้น เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ได้เร็ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งว่าเลื่อนต่อเนื่องกลับสู่ พรีเมียร์ลีก 2012/13 สมัยที่มี ไนเจล แอดกิ้นส์ ทำทีม ก่อนส่งไม้ต่อให้ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เข้ามาสร้างรอยยิ้มให้แฟนๆ
สำหรับสาวก เดอะ เซนต์ส ช่วงเวลานั้นคือ "ความทรงจำอันแสนสวย" ของแท้ ที่ทีมสร้างพัฒนาการได้อย่างน่าประทับใจ เมื่อภายใต้การดูแลของ โปเช็ตติโน่ และต่อด้วย โรนัลด์ คูมัน นั้น พวกเขาขยับจากการจบอันดับ 8 มาเป็น 7 และ 6 จนได้ไปโชว์ตัวใน ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก มาแล้ว รวมถึงยังมีขุมกำลังนักเตะดีๆ เป็นหน้าเป็นตาของสโมสรอีกเช่นกัน ทั้ง ซาดิโอ มาเน่, กราเซียโน่ เปลเล่, ดูซาน ทาดิช, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, วิกเตอร์ วันยาม่า จนถึง มายะ โยชิดะ
2015/16 เซาแธมป์ตัน ขาดไปแค่ 4 แต้มเท่านั้นจากพื้นที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
อย่างไรก็ตาม พวกเขาคงเป็นอีกทีมที่หนีไม่พ้นวงจรชีวิต ที่เมื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้วก็ค่อยๆ คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ (ขายนักเตะได้เงินเยอะก็จริง แต่ความเสียหายก็ค่อยๆ สะสมมา) จนเฉียดจะตกชั้นมาแล้วเมื่อซีซั่น 2017/18 (หันไปหากุนซือตกยุคอย่าง มาร์ค ฮิวจ์ส) ด้วยการจบอันดับ 17 เหนือโซนแดงแค่ 3 แต้ม
กระทั่งภาพในช่วง 2-3 ปีหลัง เซาแธมป์ตัน กลายมาเป็น "ทีมหนีตาย" เต็มตัวอีกครั้ง จบอันดับ 15 ติดต่อกัน 2020/21 และซีซั่นที่แล้ว 2021/22
แล้วก็หมดแรงยื้อ...ซีซั่นนี้ เซาแธมป์ตัน กำลังจะเป็นทีมแรกที่ตกชั้นลงสู่ อีเอฟแอล แชมเปี้ยนชิพ อย่างเป็นทางการ
ของดีมี...ไม่เอาไว้
เพราะแม้จะไม่อาจเข็นทีมขึ้นไปติดลมบนได้ พาทีมเข้าป้ายอันดับ 15 สองปีซ้อน แต่ในสายตาของหลายฝ่าย ราล์ฟ ฮาเซนฮุทเทิล โค้ชออสเตรียผู้เคยผ่านงานกับทีมหัวแถวอย่าง แอร์เบ ไลป์ซิก มาก่อนนั้น ก็ยังคู่ควรกับงานใน เซนต์ แมรี่ส์ สเตเดี้ยม ยาวกว่าที่เป็น
หนึ่งคือขุมกำลังมีความเปลี่ยนแปลงเยอะ สองคือกลุ่มนักเตะส่วนใหญ่อายุน้อย และสามคือพวกเขาล้มเหลวในการค้นหาดาวยิงระดับฝากผีฝากไข้ได้ (ถัดจาก แดนนี่ อิงส์ ที่เคยยิง 25 ประตู 2019/20) ความสั่นคลอนตั้งหลักไม่ค่อยอยู่จึงปรากฏในช่วงเริ่มต้นซีซั่นนี้
ให้หลังจากแพ้ นิวคาสเซิ่ล 1-4 คาบ้านตอนต้นเดือน พ.ย. แล้ว ทีมนักบุญก็ก้าวเท้าลงสู่โซนแดงด้วยการยืนอันดับ 18 ซึ่งปรากฏว่ารุ่งขึ้น ฮาเซนฮุทเทิล ก็ถูกสั่งปลดพ้นตำแหน่งไปเสีย
ใช่อยู่ว่าบอร์ดนักบุญมีเหตุผลมากพอให้ออกคำสั่ง เพียงแต่บางที คนเราก็ไม่รู้หรอกว่าได้ทำ "ของดี" หลุดมือไปแล้ว จนกว่าจะเสียมันไปแล้วจริงๆ
เพราะจาก 12 แต้มที่ ฮาเซนฮุทเทิล ทำให้กับทีมได้ใน 14 เกมแรกของซีซั่นนี้ มันมีจำนวนเกมแพ้อยู่แค่เลยครึ่งมานิดเดียวเท่านั้น (8 เกม) ส่วนที่เหลือคือเสมอ 3 และชนะอีก 3 เรียกว่า เซาแธมป์ตัน ยังไม่ได้อยู่ในจุดที่เลวร้ายอะไรมากมาย
ปัญหาคือ เมื่อปลดของดีอย่าง ฮาเซนฮุทเทิล ออกแล้ว พวกเขาก็กลับไปเลือกโค้ชโนเนมจาก ลูตัน ทาวน์ อย่าง เนธาน โจนส์ มาคุมต่ออย่างเซอร์ไพรส์ แบบที่แฟนๆ ต้องงงไปตามๆ กันว่าหมอนี่ใคร
เมื่อปัญหาอย่างการที่ขุมกำลังนักเตะไม่ค่อยสู้ดี มาบวกกับความมือใหม่ไร้ประสบการณ์ของกุนซือแล้ว เซาแธมป์ตัน ก็เข้าข่ายนิยามสั้นๆ เท่านั้นคือ "ไปกันใหญ่" -- แพ้ 7 จาก 8 เกมลีก จน โจนส์ ถูกเด้งออกแบบด่วนๆ ทำสถิติเป็นกุนซือ (ถาวร) เซาแธมป์ตันที่ได้นั่งเก้าอี้สั้นสุดแค่ 3 เดือน
ซ้ำร้าย ไม่มีผู้เชี่ยวชาญการหนีตายอย่าง แซม อัลลาร์ไดซ์ หรือโค้ชบิ๊กเนมรายไหนเข้ามากอบกู้ สิ่งที่ เซาแธมป์ตัน เลือกคือการดันโค้ชสแปนิช อดีตมือขวาของ ฮาเซนฮุทเทิล อย่าง รูเบน เซเยส ผู้ไม่เคยคุมทีมอาชีพรายใดมาก่อนเลย ขึ้นนั่งเก้าอี้
จากนิยาม 3 พยางค์ ก็หดมาเหลือคำเดียวถ้วน... "เละ!"
เซย์เยสไม่ไหว
อันที่จริง เซเยส ก็สร้างความฮือฮาได้ทันทีตั้งแต่แมตช์แรกที่ประเดิมคุมทีมแบบรักษาการ อย่างการพาทัพนักบุญบุกปราบ เชลซี (เกรแฮม พ็อตเตอร์) ถึงกรุงลอนดอน 1-0 ด้วยฟรีคิกปลิดวิญญาณของ เจมส์ วอร์ด-เพราส์
สองสัปดาห์ให้หลัง เซาแธมป์ตัน ของ เซเยส ยังคว้า 3 แต้มสำคัญได้อีกจากการสยบ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 คาร์ลอส อัลการาซ ซัดโทน
แต่ต้องขอประทานโทษว่านั่นก็คือชัยชนะครั้งสุดท้ายของ เซาแธมป์ตัน จนวันนี้
จากวันนั้นจนวันนี้ พวกเขาอาจมีเกมดีๆ อย่างการยันเสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-0, ตามทวง สเปอร์ส 3-3 หรือเกือบชนะ อาร์เซน่อล อยู่แล้วเชียว นำ 3-1 ก่อนเสมอ 3-3
แต่ไม่ชนะก็คือไม่ชนะ
- เสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-0
แพ้ เบรนท์ฟอร์ด 0-2
เสมอ สเปอร์ส 3-3
แพ้ เวสต์แฮม 0-1
แพ้ แมนฯ ซิตี้ 1-4
แพ้ คริสตัล พาเลซ 0-2
เสมอ อาร์เซน่อล 3-3
แพ้ บอร์นมัธ 0-1
แพ้ นิวคาสเซิ่ล 1-3
แพ้ ฟอเรสต์ 3-4
เสมอ 3 แพ้ 7 และกำลังจะตกชั้นในฐานะบ๊วยของ พรีเมียร์ลีก 2022/23
รอร่วงเป็นทางการ
เพราะค่อนข้างชัดเจนแล้วหลังจากผลของเกมคืนวันจันทร์ที่ ซิตี้ กราวน์ด ว่า เซาแธมป์ตัน นี่แหละกำลังจะตกชั้นลงไปเป็นรายแรก
นี่คือตารางท้ายแถว พรีเมียร์ลีก อัพเดตล่าสุด--หลังจากทุกทีมเตะผ่าน 35 นัดเท่ากันหมด (เหลือ 9 แต้มให้เก็บ)
อันดับ | ผลต่าง | แต้ม |
---|---|---|
14. บอร์นมัธ | -30 | 39 |
15. เวสต์แฮม | -12 | 37 |
16. ฟอเรสต์ | -31 | 33 |
17. เอฟเวอร์ตัน | -21 | 32 |
18. เลสเตอร์ | -15 | 30 |
19. ลีดส์ | -25 | 30 |
20. เซาแธมป์ตัน | -33 | 24 |
เพราะแม้ในทางทฤษฎีจะยังมีสิทธิ์รอด แต่ในทางปฏิบัติ ก็คงใกล้เคียงกับ "ปาฏิหาริย์" ที่จะคาดหวังให้ เซาแธมป์ตัน เด้งตัวจากอันดับ 20 ขึ้นไปอยู่ที่ 17 ได้ในตอนจบ
เพราะเวลานี้ พวกเขาตามหลังโซนปลอดภัย (17 เอฟเวอร์ตัน) ไกลถึง 8 คะแนนเข้าไปแล้ว และยังถูกทับถมด้วยผลต่างประตูได้เสียระดับแย่สุดในลีก อีกทาง
กับสามเกมสุดท้ายที่ยังเหลือ -- เหย้า ฟูแล่ม, เยือน ไบรท์ตัน, เหย้า ลิเวอร์พูล
ไม่ต้องมองไกล เสาร์นี้ไม่ว่าจะได้ผลแบบใดจาก ฟูแล่ม หากปรากฏว่าผลคู่รอบข้างไม่เป็นใจ ก็เป็นอันจบข่าวและจบเห่ เซาแธมป์ตัน จะตกชั้นจาก พรีเมียร์ลีก ในที่สุด หลังยืนระยะอยู่มาได้ถึง 11 ปี
นักบุญแล้ว...ใครต่อ?
นี่แหละ ประเด็นที่ต้องจับตามองกันอย่างตั้งอกตั้งใจ--ไม่แพ้สถานการณ์หัวแถว
จากการประเมินและคำนวณของสถาบันสถิติอย่าง Opta ที่มาจากการรวบรวมหลายปัจจัยเข้าไว้ด้วยกัน พบว่า 3 ทีมที่ตกชั้นในท้ายที่สุด จะไม่ต่างไปจากอันดับตารางตอนนี้
- เซาแธมป์ตัน -- 99.99% (โอกาสร่วง)
ลีดส์ -- 75.2%
เลสเตอร์ -- 67.5%
ฟอเรสต์ -- 30.8%
เอฟเวอร์ตัน -- 26.3%
น่าสนใจว่า อ็อปต้า ประเมินโอกาสร่วงของ เอฟเวอร์ตัน ว่ามีน้อยกว่าใครเพื่อน ซึ่งก็คงเพราะความหนังเหนียวตายยากที่ทีมทอฟฟี่เป็น อย่างที่ล่าสุดฮึดกะซวก ไบรท์ตัน ถึงบ้าน 5-1 เมื่อวันจันทร์
สำคัญคือ แชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อ 7 ปีก่อนอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ถูกมองว่า "ไม่น่ารอด" แต่ประการใด
แน่นอน ก็คงต้องจับตามองกันอย่างไม่ให้คลาดสายตา สำหรับสาวกจิ้งจอกที่มีอยู่ไม่น้อยเสียด้วยในบ้านเรา สำหรับ 3 นัดสุดท้ายที่ เลสเตอร์ จะพบกับ (เหย้า) ลิเวอร์พูล, (เยือน) นิวคาสเซิ่ล และ (เหย้า) เวสต์แฮม
เซาแธมป์ตัน กำลังจะปิดตำนาน 11 ปีอยู่โยงพรีเมียร์ลีก ในเพียงนับถอยหลัง
อีกสองจะเป็นใครที่ตกตายตามกันไป ลีดส์, เลสเตอร์, ฟอเรสต์ หรือ เอฟเวอร์ตัน คำตอบจะปรากฏขึ้นในอีกไม่ช้า