คนใจร้อน 2023 : เกมดัง FM ประมวลผลฉากจบ พรีเมียร์ลีก ซีซั่นใหม่ ใครแชมป์ใครช้ำ... แมนยู อาการหนัก - FEATURE

• พรีเมียร์ลีก 2023/24 เริ่มต้นสัปดาห์แรกขึ้นแล้ว และจะยิงยาว 9 เดือนเหมือนที่เคยเป็นมา
• แต่งานนี้ ก็มี "คนใจร้อน" ประจำปี 2023 เกิดขึ้นจนได้
• ไปดูกันว่า บทสรุปล่วงหน้าของ พรีเมียร์ลีก ที่เกิดจากเกม Football Manager จะได้ผลแบบไหน ใครแชมป์ใครช้ำ และทีม "สีแดงๆ" รายไหนที่ต้องเจอปีที่แสนเจ็บปวด...อีกครั้ง
Manchester City v Chelsea FC - Premier League
Manchester City v Chelsea FC - Premier League / Alex Livesey - Danehouse/GettyImages
facebooktwitterreddit

ผ่านพ้นสัปดาห์แรกไปแล้วสำหรับ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลใหม่ 2023/24 แต่แม้จะอยู่ในขั้นที่ "ยังไม่เห็นหน้าเห็นหลัง" อะไรทั้งสิ้น ตลงตลาดซัมเมอร์ก็ยังไม่ปิดลง สื่อแถวหน้าของอังกฤษอย่าง เดอะ มิเรอร์ ก็ยินดีนำเสนอ "ตอนจบ" ของลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ให้เรียบร้อยแล้ว ผ่านการจำลองการแข่งขันตลอดซีซั่นด้วยเกมฟุตบอลชั้นนำอย่าง Football Manager 2023


เชลซี คัมแบ๊ก

หนึ่งในทีมที่ถูกจับตามากที่สุดสำหรับซีซั่นใหม่นี้ ก็คือ เชลซี ซึ่งเกิดความเปลี่ยนแปลงแบบหนักหนาที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สโมสร ให้หลังจากการจบอันดับต่ำถึงที่ 12 ในซีซั่น 2022/23 ที่ผ่านมา

กุนซือใหม่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เข้ามา นักเตะเดินสวนเข้าสวนออกประตู สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นว่าเล่น ขาออกมีร่วม 20 คนทั้งที่หมดสัญญา-เทขาย-ปล่อยออกยืมตัว ขณะที่ขาเข้าซึ่งเน้นแข้งอายุน้อยใช้งานระยะยาว ก็มีมาใหม่ 7-8 ราย จ่ายเงินสนุกมือกว่า 300 ล้านปอนด์ (แต่ก็ขายออกได้มา 200 ล้าน)

และในเกมจำลองของ Football Manager ก็ควรจัดว่า โปเช็ตติโน่ ประสบความสำเร็จด้วยดีในการเปลี่ยนให้สิงห์น้ำเงินตัวนี้ กลับมากร้าวแกร่งได้อีกครั้ง

แม้ช่วงเริ่มต้นจะออกสตาร์ทอย่างขลุกขลักเล็กน้อย เก็บแต้มไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากนัก แต่ โปเช็ตติโน่ ก็สามารถพาทีมประคองตัวลุ้นท็อป 4 ไปยาวๆ

กระทั่งในท้ายที่สุด เชลซี ก็จบที่อันดับ 4 ด้วยผลงานชนะ 23 เสมอ 7 หลุดแพ้แค่ 8 เกม ทำแต้มเข้ากระเป๋า 76 แต้ม แม้จะห่างจากบรรดาท็อปทรี (แมนฯ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล) อยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเมื่อเป้าหมายของการจบเบอร์ 4 สำเร็จเรียบร้อยด้วยดี

และเมื่อ เชลซี แทรกเข้าสู่ท็อปโฟร์สำเร็จ ก็ต้องมีทีมใหญ่ที่อกหัก ซึ่งได้แก่ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่หล่นจากมาตรฐานเล็กน้อย ไปเข้าเส้นชัยที่อันดับ 5 และทาง ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ที่ทำได้เพียงอันดับ 7 เท่านั้น แต่เอาเข้าจริงก็คงไม่น่าแปลกใจนักสำหรับการจบตรงนี้ เมื่อพวกเขาไม่มี แฮร์รี่ เคน แล้ว และยังเป็นทีมสายเลือดใหม่ของ อันเก้ ปอสเตโคกลู อีกด้วย

Axel Disasi
Chelsea FC v Liverpool FC - Premier League / Marc Atkins/GettyImages

ระหว่าง 'แดง' กับ 'ฟ้า'

ขณะที่การช่วงชิงบัลลังก์แชมป์ แม้ว่า อาร์เซน่อล ของ มิเกล อาร์เตต้า จะสร้างผลงานได้ดีเยี่ยมมีมาตรฐานเหมือนซีซั่นที่ผ่านมา แต่ภาพของการลุ้นแชมป์ก็ถูกเปลี่ยนมือกลับไปสู่ "คู่ชิง" หน้าเดิม

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ VS ลิเวอร์พูล

การชิงชัยเป็นไปอย่างคู่คี่สูสีตั้งแต่ต้นยันจบ ด้วยการคืนความร้อนแรงของ ลิเวอร์พูล ที่แม้ เยอร์เก้น คล็อปป์ จะต้องสร้างทีมใหม่โดยเฉพาะแดนกลาง แต่ก็ได้ความร้อนแรงของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่กลับมายิงได้เยอะอีกครั้ง เป็นหลักใหญ่ใจความ

แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังคงออกสตาร์ทซีซั่นได้อย่างร้อนแรงไม่เปลี่ยนก็จริง Football Manager พบว่าเรือใบสีฟ้าชนะรวดถึง 10 นัดแรก แต่ก็ดูว่า เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ จะเจอปัญหาพอสมควรในปีที่ 2

ดาวยิงนอร์วีเจี้ยนไม่ร้อนแรงยิงสลุตดังเดิม ยอดกระหน่ำประตูที่เคยซัดไม่ยั้ง 36 ลูกใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นก่อน (และ 52 ประตูจาก 53 นัดรวมทุกถ้วย) ลดลงอยางมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในลีกที่เหลือแค่หลักสิบกว่าๆ เท่านั้นเอง

นั่นเป็นจุดที่ทำให้การชิงชัยระหว่าง แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล กลับมาสูสีอย่างยิ่ง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ฉากจบจาก 2021/22 ที่ แมนฯ ซิตี้ เฉือน ลิเวอร์พูล แค่ปลายจมูก 1 แต้มถ้วน (93:92) ก็ยังคงถูกผลิตซ้ำอีกรอบ

การลุ้นแชมป์ลากยาวไปถึงนัดสุดท้าย ที่ แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านพบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล เปิดแอนฟิลด์ฉะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส วันอาทิตย์ที่ 19 พ.ค. 2024 ด้วยสถานการณ์ที่ว่า บทสรุปสุดท้ายอาจต้องมาตัดสินที่ "ผลต่างประตูได้เสีย" หากว่า แมนฯ ซิตี้ เอาชนะไม่ได้

แต่ก็ปรากฏว่า ทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ ต่างก็กำชัยได้ในวันปิดซีซั่นเหมือนๆ กัน ด้วยสกอร์ 1-0 กับ 3-0 ตามลำดับ นั่นทำให้ แมนฯ ซิตี้ ครองแชมป์ พรีเมียร์ลีก ด้วยการเฉือนชนะ ลิเวอร์พูล 2 คะแนน 89:87

แม้ว่า แมนฯ ซิตี้ จะหลุดแพ้เยอะถึง 7 นัด (ขณะที่ ลิเวอร์พูล แพ้ 5) แต่พวกเขาก็หลีกเลี่ยงผลเสมอได้เป็นอย่างดี มีเกมที่ออกเจ๊าแค่ 2 นัดเท่านั้น จนตอนจบเป็นอย่างที่เอ่ยไว้ในบรรทัดบน

แมนฯ ซิตี้ สานต่อความยิ่งใหญ่ด้วยการครองแชมป์ พรีเมียร์ลีก 4 ปีซ้อน และเป็นแชมป์ลีกอังกฤษสมัยที่ 10 เข้าไปแล้ว

Erling Haaland
Burnley FC v Manchester City - Premier League / Robbie Jay Barratt - AMA/GettyImages

ทีมน่าผิดหวังแห่งปี

ไม่มีแล้วเรื่องต้องมาหนีตาย ภายหลัง เอฟเวอร์ตัน คลุกฝุ่นท้ายตารางมาตลอด 2 ซีซั่นหลัง และเจียนอยู่เจียนไปแบบลุ้นกันยันนัดสุดท้ายในปีก่อน แต่มาคราวนี้ ชอน ไดช์ ตั้งหลักสร้างผลงานกับทีมทอฟฟี่ได้อย่างน่าพอใจ

แม้จะเสียประตูเยอะพอตัวถึง 50 ลูก แต่แนวรุกที่นำโดย โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน ก็ช่วยกันตักตวงประตูได้ 51 ตุง และช่วยให้ เอฟเวอร์ตัน ชนะ 13 เสมออีก 9 (และแพ้ 16) โกยแต้ม 48 คะแนน เข้าป้ายเป็นอันดับ 10 ของตาราง

หรือ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส เองก็เช่นกัน แม้จะมีการเปลี่ยนตัวกุนซืออย่างช็อกวงการ ฆูเลน โลเปเตกี แยกทางไปก่อนซีซั่นใหม่เปิดขึ้นแค่ 3 วัน แต่ทีมหมาป่าภายใต้การนำของ แกรี่ โอนีล อดีตนายใหญ่ บอร์นมัธ ก็เข้าป้ายสูงที่อันดับ 11 ด้วยแต้มที่เท่ากับ เอฟเวอร์ตัน เป็นรองแค่ประตูได้เสียเท่านั้น

ส่วนบรรดาทีมที่ต้องมาดิ้นรนต่อสู้เพื่อลมหายใจกันนั้น Football Manager ได้ผลออกมาว่ามีอยู่ 6 ทีม -- เบรนท์ฟอร์ด, ไบรท์ตัน, น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, บอร์นมัธ และ 2 น้องใหม่อย่าง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด กับ ลูตัน ทาวน์

ท้ายที่สุด คงไม่นับเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด กับ ลูตัน ทาวน์ กอดคอกันตกชั้นกลับสู่ อีเอฟแอล แชมเปี้ยนชิพ โดยรายแรก "ดาบคู่" จมบ๊วย ชนะแค่ 4 นัด มี 22 แต้มเท่านั้น ขณะที่ทีมสีส้มรายหลัง ตามติดไปด้วยการเป็นรองบ๊วย ชนะ 6 นัด มี 23 คะแนน

ส่วนอีกหนึ่งโควตาที่ลุ้นกันยาวหน่อย คืออันดับ 18 ที่สุดท้ายกลายเป็น บอร์นมัธ ที่กุนซือใหม่ อันโดนี่ อิราโอล่า เอาไม่อยู่ ชนะได้แค่ 7 เกม มี 31 แต้ม ตามหลังอันดับ 17 เบรนท์ฟอร์ด 4 แต้มในตอนจบ

อย่างไรก็ตาม หากจะถามถึงทีมที่ "น่าผิดหวังที่สุด" แห่งปี ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน... แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นเอง

เพราะทั้งออกสตาร์ทอย่างหนืดเนือย สะดุดเสียแต้มแต่เนิ่นๆ แล้วก็ยิงยาวด้วยความงึกๆ งักๆ ไปตลอดซีซั่น จนช่วงท้ายกลายเป็นว่าทีมของ เอริค เทน ฮาก ต้องไปเน้นทำผลงานในบอลถ้วยแทน และก็เข้าป้ายเป็น แชมป์ เอฟเอ คัพ สมใจหมาย (พร้อมตีตั๋ว ยูโรป้า ลีก)

ทว่าในพรีเมียร์ลีกนั้น ปีศาจแดง จมที่เพียงอันดับ 8 มีผลงานแย่ที่สุดในบรรดาสโมสรใหญ่ ด้วยการชนะ 14 เสมอ 14 แพ้ยับ 10 นัด โดยที่แต้มตามหลังอันดับ 7 สเปอร์ส ห่างไกลถึง 7 คะแนนทีเดียว

ปีแรก (ของจริง) จบอันดับ 3 พร้อมแชมป์ คาราบาว คัพ

ปีสอง (ของภาพจำลอง) ดิ่งไปจบที่ 8 แต่ก็ยังมีแชมป์ เอฟเอ คัพ

ก็คงต้องพิจารณากันว่า ด้วยผลงานประมาณนี้ ดีพอที่ เอริค เทน ฮาก จะนั่งเก้าอี้ต่อไปหรือไม่...

Erik ten Hag
Manchester United v Athletic Club Bilbao, pre season friendly match, Dublin. / Tim Clayton - Corbis/GettyImages

สรุปตอนจบ พรีเมียร์ลีก 2023/24 โดยเกม FM

อันดับ

ชนะ-เสมอ-แพ้

แต้ม

1. แมนฯ ซิตี้

29-2-7

89

2. ลิเวอร์พูล

27-6-5

87

3. อาร์เซน่อล

25-7-6

82

4. เชลซี

23-7-8

76

5. นิวคาสเซิ่ล

22-5-11

71

6. แอสตัน วิลล่า

18-9-11

63

7. สเปอร์ส

18-9-11

63

8. แมนยู

14-14-10

56

9. ฟูแล่ม

13-11-14

50

10. เอฟเวอร์ตัน

13-9-16

48

11. วูล์ฟส์

14-6-18

48

12. เบิร์นลี่ย์

12-12-14

48

13. พาเลซ

12-11-15

47

14. เวสต์แฮม

9-14-15

41

15. ไบรท์ตัน

9-10-19

37

16. ฟอเรสต์

9-9-20

36

17. เบรนท์ฟอร์ด

9-8-21

35

18. บอร์นมัธ

7-10-21

31

19. ลูตัน

6-5-27

23

20. เชฟยู

4-10-24

22

สรุปได้ยันรางวัลต่างๆ

นอกจากการสร้างบทสรุปผลการแข่งขันของ พรีเมียร์ลีก 2023/24 ออกมาแล้ว Football Manager ก็ยังอุตส่าห์จะได้ข้อสรุปในหลากหลายแง่ ทั้งเรื่องของดาวซัลโว, ดาวแอสซิสต์, นายประตูที่ทำคลีนชีตเยอะสุด, เจ้าของรางวัลนักเตะแห่งปีและดาวรุ่งแห่งปี ไปจนถึง 11 ดาวเด่นที่ถูกจัดไว้ในทีมยอดเยี่ยมประจำปี ดังนี้...

  • ดาวซัลโว : 17 ประตู โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล)

    ดาวแอสซิสต์ : 12 แอสซิสต์ มาร์ติน โอเดการ์ด (อาร์เซน่อล), เควิน เดอ บรอยน์ และ แบร์นาร์โด้ ซิลวา (แมนฯ ซิตี้)

    ถุงมือทองคำ : 22 คลีนชีต อลิสซอน เบ็คเกอร์ (ลิเวอร์พูล)

    นักเตะแห่งปี : โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล)

    ดาวรุ่งแห่งปี : บูกาโย่ ซาก้า (อาร์เซน่อล)

    กุนซือแห่งปี : เป๊ป กวาร์ดิโอล่า (แมนฯ ซิตี้)
  • 11 แข้งทีมยอดเยี่ยมประจำปี

    ผู้รักษาประตู : อลิสซอน เบ็คเกอร์ (ลิเวอร์พูล)

    กองหลัง : อายเมอริก ลาป๊อร์กต์, ไคล์ วอล์คเกอร์, รูเบน ดิอาส, ยอสโก้ กวาร์ดิโอล (แมนฯ ซิตี้ ทั้งหมด)

    กองกลาง : มุสซ่า ดิยาบี้ (แอสตัน วิลล่า), แบร์นาร์โด้ ซิลวา และ เควิน เดอ บรอยน์ (แมนฯ ซิตี้)

    กองหน้า : เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ (แมนฯ ซิตี้), โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ดาร์วิน นูนเยซ (ลิเวอร์พูล)

อย่างไรก็ตาม ต้องย้ำทิ้งท้ายอีกครั้งว่านี่คือบทสรุปจากการสร้างฉากจำลองภายใต้ระบบประมวลผลของเกมคอมพิวเตอร์อย่าง Football Manager เท่านั้น ที่แน่นอนว่าเมื่อว่ากันถึงเรื่องจริง คนจริงๆ ฟุตบอลจริงๆ แล้ว ย่อมจะมีปัจจัยเสริมอย่าง "เรื่องเหนือความคาดหมาย" แทรกแซงมาอยู่แล้ว

ฉะนั้น ตลอด 9 เดือนนับจากนี้ ก็คงต้องมาร่วมจับตาสัปดาห์ต่อสัปดาห์กันต่อไปยาวๆ ว่า พรีเมียร์ลีก จะปรากฏบทสรุปแบบไหนจริงๆ กันแน่

Manchester City v Chelsea FC - Premier League
Manchester City v Chelsea FC - Premier League / Michael Regan/GettyImages