"ภาษาฟุตบอล" องค์ประกอบหลักสู่ความสำเร็จของ ทัพช้างศึก ยุค มาโน โพลกิ้ง - FEATURE
โดย W.PINTHONG
2 กุนซือที่ผ่านมาของทีมชาติไทย ชุดใหญ่ อาจจะมีการสื่อสารระหว่าง “โค้ช” มาถึง “ล่าม” แบบแปลผิดๆไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็น มิโลวาน ราเยวัช ที่ต้องใช้ล่ามภาษาเซอร์เบีย แปลเป็นอังกฤษ ก่อนขมวดคำเป็นไทย แถมผิดบ้างถูกบ้างคละเคล้ากัน ก่อนจะมาเป็น อากิระ นิชิโนะ ซึ่งนำล่ามญี่ปุ่นที่รู้จักกัน ทว่าขาดประสบการณ์ในฟุตบอล ทำให้ต้องแยกทางในเวลาต่อมา
แต่ในยุค มาโน่ โพลกิ้ง ต้องชื่นชมเรื่องของการใช้ภาษาอังกฤษที่แข็งแรง ทำให้นักเตะเข้าใจโดยง่าย และอีกมุมล่ามของเขานามว่า “เอ็กซ์”วสพล แก้วผลึก ก็มีส่วนสำคัญในการแปลภาษาฟุตบอลที่ได้รับมาจาก มาโน โพลกิ้ง โดยเป็นผู้ที่มีความรู้ความใจในฟุตบอลเป็นอย่างดีอีกด้วย แถมยังจบการอบรมโค้ช เอ ไลเซนส์ มาแล้ว
“โค้ชเอ็กซ์” เป็นหนุ่มนักเรียนอังกฤษ เข้ามาเป็นล่ามตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งเวลานั้น วินฟรีด เขเฟอร์ เข้ามาเป็นกุนซือทีมชาติไทย และมี มาโน โพลกิ้ง เป็นสตาฟฟ์ แต่เขาเริ่มต้นที่เขามาจับงานฟุตบอลที่เขารัก และลงมือทำมันอยากเรียนรู้ทุกอย่าง ตั้งแต่ปี 2009 ในการมาเป็นล่ามให้ ไบรอัน ร็อบสัน ซึ่งผ่านร้อนหนาวมาด้วยในนามสโมสร จนก้าวมาสู่ทีมชาติไทย ชุดใหญ่
จุดที่ผมชอบการทำงานของคู่นี้ คือ จิตวิทยาในการพูดก่อนเกมและหลังแข่ง ก่อนเกม มาโน่ โพลกิ้ง จะให้เกียรติคู่แข่งเป็นทีมระดับยอดเยี่ยม แต่ก็พร้อมตบ 3 คะแนน และหลังเกมล่าสุด ผมชอบการแปลของ “โค้ชเอ็กซ์” ตรงที่ให้เกียรตินักเตะทั้งหมดที่ขนไปลุย เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 กับคำว่า
"เหตุผลที่ผมเปลี่ยนนักเตะทั้ง 11 คน ในเกมนี้เพราะผมเชื่อมั่นในตัวผู้เล่น ทุกคนแสดงให้ผมเห็นตั้งแต่วันแรก ที่ผมคุมซ้อม ทั้งความทุ่มเท และมีคุณภาพ ช่วยผลักดันนักเตะในชุดก่อนหน้านี้”
“และที่ก่อนหน้านี้หลายคนทำได้ดี ก็เพราะนักเตะ 11 ตัวจริงในชุดนี้ ด้วยความทุ่มเทแบบนี้ ทำให้พวกเขาเหมาะสมที่จะได้รับโอกาส อีกเหตุผลคือ ผมอยากเห็นผู้เล่นเหล่านี้ทั้ง 11 คน ได้เล่นต่อหน้าแฟนบอลสิงคโปร์ และทีมที่มีคุณภาพแบบนี้”
“อย่างที่ทราบผมได้รับงานคุมทีมก่อนทัวร์นาเมนต์นี้ไม่กี่วัน และยังไม่ได้อุ่นเครื่องแม้แต่เกมเดียว เพราะฉะนั้น เราจะต้องใช้นักเตะกลุ่มนี้ เพื่อช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายให้ได้ ว่านักเตะกลุ่มนี้ก็รับมือกับความกดดันแบบนี้ได้”
นี่แหละมันเป็นจิตวิทยาเล็กๆ ที่คอยขับเคลื่อนทีมเดินหน้า ซึ่งทั้งคู่ทำออกมา และปฏิกิริยาแอ็คขั่นในสนามแข่ง ก็ดูมีแพสชั่นที่สูงมากๆ อีกอย่างที่ลืมไม่ได้อีก ก็คงจะเป็น “เซอร์เด็จ”จเด็จ มีลาภ และ “โค้ชหนึ่ง”หนึ่งฤทัย สระทองเวียน ผู้ช่วยโค้ชของชุดนี้ ที่มำงานอย่างหนัก ทั้งการเดินทางไปดูนักเตะถึงสนาม หรือคอยเป็นที่ปรึกษาให้นักเตะทุกคน
ส่วนการเจอกับ เวียดนาม ในรอบรองชนะเลิศ วันที่ 23 และ 26 ธ.ค.นี้ ทางฝั่ง มาโน่ โพลกิ้ง เปิดใจว่า "เวียดนาม เป็นทีมที่ดีและเล่นด้วยความเข้าใจกันทุกตำแหน่งหลังได้ซ้อมอยู่ด้วยกันมาหลายเดือน มีผู้เล่นที่อันตรายหลายคน เกมรุกดี และ เกมรับที่แน่น โดยยังไม่เสียประตูในรายการนี้ เราพร้อมที่เจอทุกทีมอยู่แล้วเพราะ ถ้าเราต้องการเป็นแชมป์ เราต้องชนะได้ทุกทีม ไม่ว่าจะในรอบไหนก็ตาม ซึ่งตอนนี้ในทีม มีสมาธิ และ ความพร้อมเต็มที่"
และในรอบนี้ มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องแข่งขันโดยใช้สนามกลาง มีประเทศสิงคโปร์ เป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะแข่งขัน 2 นัด โดยกติกาการแข่งขัน จะนำเอาผลสองนัดมารวมกัน และหาผู้ชนะผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศต่อไป แต่ถ้าหาก ทั้งสองนัด ทั้งสองทีม มีสกอร์เท่ากัน จะไม่นำระบบ อเวย์ โกล ( Away Goal ) หรือ กฎประตูทีมเยือนมาใช้ โดยจะทำการ ตัดสินเพื่อหาผู้ชนะ ด้วยการต่อเวลาพิเศษ 30 นาที หากสกอร์ยังเท่ากัน จะต้องยิงจุดโทษตัดสิน
มาร่วมลุ้นการทวงบัลลังก์แชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 พร้อมกับทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ไปด้วยกัน!!!
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด