จะยิงหมู 10 ลูก 100 ลูกก็เท่านั้น : วิเคราะห์อุปสรรคที่ อังกฤษ ก้าวข้ามไม่พ้น จนไม่มีแชมป์ใดตั้งแต่ 1966 - FEATURE
สวยสดงดงามน่าประทับใจ อังกฤษ ข้ามผ่าน มอลต้า กับ มาซิโดเนียเหนือ ด้วยสกอร์ 4-0 กับ 7-0 ตามลำดับ จนโอกาสฉลุยรอบสุดท้าย ยูโร 2024 สดใสกว่าใครเพื่อน
แต่อันที่จริง จะยิงถล่มหมูสนาม 10 ลูกหรือ 100 ลูกก็เท่านั้น...เมื่อ อังกฤษ ยังคงมีอุปสรรคสำคัญที่ก้าวข้ามไม่พ้น ที่ทำให้แชมป์เมเจอร์รายการสุดท้าย ยังคงเป็น ฟุตบอลโลกยุคโบราณ 1966 อยู่นั่นเอง
รอบคัดเลือก ไม่เคยเป็นปัญหา
- ผลงานรอบคัดเลือก ยุค แกเร็ธ เซาธ์เกต
ฟุตบอลโลก 2018 : แชมป์กลุ่ม เตะ 10 ชนะ 8 เสมอ 2
ยูโร 2020 : แชมป์กลุ่ม เตะ 8 ชนะ 7 แพ้ 1
ฟุตบอลโลก 2022 : แชมป์กลุ่ม เตะ 10 ชนะ 8 เสมอ 2
ยูโร 2024 : เตะ 4 ชนะ 4 ไม่น่ามีปัญหาสำหรับแชมป์กลุ่ม
ตั้งแต่ที่ตกคัดเลือก ยูโร 2008 แบบช็อกวงการ อังกฤษ ก็ไม่พลาดซ้ำอีก โดยเฉพาะในยุคของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่ตลอด 3 ทัวร์นาเมนต์หลัง พวกเขาสามารถคว้าแชมป์กลุ่มของรอบคัดเลือกได้แบบสบายหายห่วง
คัดบอลโลก 2018 กับ 2022 เตะรวม 20 นัด ไม่แพ้ใครทั้งสิ้น
หรือคัดยูโร 2020 แม้จะมีหลุดแพ้ 1 นัด (1-2 เช็ก) แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับภาพรวม ที่ลงเอยด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม ฟาด 21 จาก 24 คะแนนเต็ม
กับรอบคัดเลือก ยูโร 2024 ที่กำลังดำเนินอยู่ ก็ทำท่าจะออกอีหรอบเดียวกัน
เพราะแม้ ยูฟ่า จะส่ง อิตาลี มาเป็นเพื่อนร่วมกลุ่ม แต่อย่าลืมว่า อิตาลี ชุดนี้เหมือนต้องเริ่มนับ 1 ใหม่ (อีกครั้ง) ภายหลังร่วงคัดเลือกบอลโลกมาอย่างต่อเนื่อง ต้องสร้างทีมใหม่จนมาตรฐานของทัพอัซซูร์รี่ตามหลังหลายๆ ชาติไปแล้ว--แม้จะเพิ่งครองแชมป์ยูโรหนก่อนมาก็ตาม
แค่ 4 นัดผ่านไป อังกฤษ ก็เหมือนประทับตราจองตั๋วเข้ารอบสุดท้ายที่ เยอรมนี เอาไว้เรียบร้อยแล้ว
- ชนะ อิตาลี 2-1 ที่เนเปิ้ลส์
ชนะ ยูเครน 2-0 ในเวมบลีย์
ชนะ มอลต้า 4-0 ที่กาตาลี
ชนะ มาซิโดเนียเหนือ 7-0 ในเวมบลีย์
พร้อมๆ กับการแจ้งเกิดของกองกลาง "เบอร์ 10 คนใหม่" เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ถูกจับลงแดนกลางทั้งสองนัด (ที่มอลต้า แบ็กขวาเป็น คีแรน ทริปเปียร์ ส่วนเมื่อวันจันทร์เป็น ไคล์ วอล์คเกอร์) แล้วท็อปฟอร์มสุดๆ ไปเลย อังกฤษ ก็ยังสามารถฉีกยิ้มกว้างได้กับหลายๆ แง่ดีที่ปรากฏ
- - บูกาโย่ ซาก้า เช็คบิลแฮตทริกแรกในชีวิตค้าแข้งอาชีพ
- แฮร์รี่ เคน ซัด 3 ตุงจาก 2 เกม เพิ่มสถิติเป็น 58 ลูกในการรับใช้ชาติ (ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล) 84 นัด
- มาร์คัส แรชฟอร์ด มี 1 เม็ด
- คัลลั่ม วิลสัน มี 1 เม็ด
- แคลวิน "ลูกรัก" ฟิลลิปส์ ก็มี 1 เม็ด
- สลับหลังบ้านทั้ง 2 นัด ไม่เสียประตูสักลูก
ไม่ต้องคำนวณโปรแกรมที่เหลือกับความเป็นไปได้ให้เสียเวลา ด้วยฟอร์มแบบนี้ ทรงอย่างแจ่มแบบนี้ อย่างไรเสีย อังกฤษ ก็เข้ารอบสุดท้าย ยูโร 2024 แน่นอน ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ เมื่อ ยูฟ่า คัดเอาทั้งแชมป์และรองแชมป์กลุ่มเข้าไปด้วยกัน
รอบสุดท้ายต่างหาก ของจริง
- ผลงานรอบสุดท้าย ถัดจากแชมป์โลก 1966
ยูโร 1968 : อันดับ 3
ฟุตบอลโลก 1970 : ตกรอบ 8 ทีม
ยูโร 1972 : ตกรอบคัดเลือก
ฟุตบอลโลก 1974 : ตกรอบคัดเลือก
ยูโร 1976 : ตกรอบคัดเลือก
ฟุตบอลโลก 1978 : ตกรอบคัดเลือก
ยูโร 1980 : ตกรอบแบ่งกลุ่ม
ฟุตบอลโลก 1982 : ตกรอบ 2
ยูโร 1984 : ตกรอบคัดเลือก
ฟุตบอลโลก 1986 : ตกรอบ 8 ทีม
ยูโร 1988 : ตกรอบแบ่งกลุ่ม
ฟุตบอลโลก 1990 : อันดับ 4
ยูโร 1992 : ตกรอบแบ่งกลุ่ม
ฟุตบอลโลก 1994 : ตกรอบคัดเลือก
ยูโร 1996 : ตกรอบตัดเชือก
ฟุตบอลโลก 1998 : ตกรอบ 16 ทีม
ยูโร 2000 : ตกรอบแบ่งกลุ่ม
ฟุตบอลโลก 2002 : ตกรอบ 8 ทีม
ยูโร 2004 : ตกรอบ 8 ทีม
ฟุตบอลโลก 2006 : ตกรอบ 8 ทีม
ยูโร 2008 : ตกรอบคัดเลือก
ฟุตบอลโลก 2010 : ตกรอบ 16 ทีม
ยูโร 2012 : ตกรอบ 8 ทีม
ฟุตบอลโลก 2014 : ตกรอบแบ่งกลุ่ม
ยูโร 2016 : ตกรอบ 16 ทีม
ฟุตบอลโลก 2018 : อันดับ 4
ยูโร 2020 : รองแชมป์
ฟุตบอลโลก 2022 : ตกรอบ 8 ทีม
รอบคัดเลือกไม่เคยเป็นปัญหา แต่มาถึงรอบสุดท้ายนี่สิ ของจริงที่ อังกฤษ ของ เซาธ์เกต ทำดีที่สุดก็ยังได้แค่ "เกือบ"
ถึงตัดเชือก ฟุตบอลโลก 2018 และขึ้นนำ โครเอเชีย ด้วยฟรีคิกของ คีแรน ทริปเปียร์ แล้ว แต่จากนั้นก็ยื้อไม่อยู่ โดน อีวาน เปริซิช ตีเสมอในเวลา ก่อนต่อเวลาพิเศษโดน มาริโอ มานด์ซูคิช ซัดนำชัยเขี่ยสิงโตไปชิงที่สาม (ซึ่งก็แพ้ เบลเยียม สบาย 0-2)
ยูโร 2020 (ที่เตะปี 2021) ทำได้เยี่ยมด้วยการเขี่ย เยอรมนี, ยูเครน, เดนมาร์ก ร่วงน็อกเอาต์ และสู้กับ อิตาลี อย่างคู่คี่สูสีในนัดชิง แต่เมื่อถึงการดวลจุดโทษเพื่อชี้ขาดแชมป์ ทั้ง มาร์คัส แรชฟอร์ด, เจดอน ซานโช่, บูกาโย่ ซาก้า ต่างก็สังหารพลาดเป้า จนแพ้คาเวมบลีย์อย่างหงอยๆ 2-3
ฟุตบอลโลก 2022 หลอกให้แฟนๆ ตายใจด้วยฟอร์มสวยหรูเกมถลุง อิหร่าน 6-2, เวลส์ 3-0, เซเนกัล 3-0 แต่เมื่อเจอ "ของจริง" อย่าง ฝรั่งเศส แล้วก็จอดไม่ต้องแจวแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย แพ้ 1-2 โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ สังหารนำชัยท้ายเกม
เพราะรอบคัดเลือกจะทำได้ "สมบูรณ์แบบ" ขนาดไหน รอบสุดท้ายจะไล่ยำทีมเล็กกว่าสักกี่ประตู อังกฤษ ก็ไม่เคยกำราบของแข็งจริงๆ ลงได้ในเกมชี้เป็นชี้ตาย
3 รายการหลัง แพ้ โครเอเชีย, อิตาลี, ฝรั่งเศส ตามลำดับ
ก็นี่แหละ ปัญหา...
อุปสรรคที่ อังกฤษ ยังก้าวข้ามไม่พ้น
- ผลการ "พบยักษ์" ในยุค เซาธ์เกต
2016
กระชับมิตร เสมอ สเปน 2-2
2017
กระชับมิตร แพ้ เยอรมนี 0-1
กระชับมิตร แพ้ ฝรั่งเศส 2-3
กระชับมิตร เสมอ เยอรมนี 0-0
กระชับมิตร เสมอ บราซิล 0-0
2018
กระชับมิตร ชนะ เนเธอร์แลนด์ 1-0
กระชับมิตร เสมอ อิตาลี 1-1
ฟุตบอลโลก 2018 แพ้ เบลเยียม 0-1
ฟุตบอลโลก 2018 แพ้ โครเอเชีย 1-2 (ต่อเวลา)
ฟุตบอลโลก 2018 แพ้ เบลเยียม 0-2
เนชั่นส์ ลีก แพ้ สเปน 1-2
เนชั่นส์ ลีก เสมอ โครเอเชีย 0-0
เนชั่นส์ ลีก ชนะ สเปน 3-2
เนชั่นส์ ลีก ชนะ โครเอเชีย 2-1
2019
เนชั่นส์ ลีก แพ้ เนเธอร์แลนด์ 1-3 (ต่อเวลา)
2020
เนชั่นส์ ลีก ชนะ เบลเยียม 2-1
เนชั่นส์ ลีก แพ้ เบลเยียม 0-2
2021
ยูโร 2020 ชนะ โครเอเชีย 1-0
ยูโร 2020 ชนะ เยอรมนี 2-0
ยูโร 2020 แพ้ อิตาลี 2-3 (จุดโทษหลังเสมอ 1-1)
2022
เนชั่นส์ ลีก เสมอ เยอรมนี 1-1
เนชั่นส์ ลีก เสมอ อิตาลี 0-0
เนชั่นส์ ลีก แพ้ อิตาลี 0-1
เนชั่นส์ ลีก เสมอ เยอรมนี 3-3
ฟุตบอลโลก 2022 แพ้ ฝรั่งเศส 1-2
2023
คัดยูโร 2024 ชนะ อิตาลี 2-1
คงไม่ถึงขั้นฟ้ากับเหว แต่ก็แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง ว่าในยามที่ อังกฤษ ต้องเจอทีมหัวแถวร่วมทวีป หรือชาติแข็งๆ ในโลกฟุตบอล ก็มักเอาตัวไม่รอดทุกทีไป
เวลาเดียวๆ กันกับที่ อังกฤษ กราดยิง บัลแกเรีย 6-0 บ้าง มอนเตเนโกร 7-0 บ้าง อิหร่าน 6-2 บ้าง หรือที่ล่าสุดยิง มอลต้า & มาซิโดเนียเหนือ สองนัด 11 ลูก พวกเขาก็แพ้ สเปน แพ้ เนเธอร์แลนด์ แพ้ ฝรั่งเศส แพ้ เบลเยียม เป็นเรื่องปกติ -- นานๆ ทีจะมีชนะสักนัดในการเจอทีมระดับนี้
นับตั้งแต่ที่ เซาธ์เกต ขึ้นทำทีมแทน แซม อัลลาร์ไดซ์ ในปี 2016 แล้ว สถิติของการ "พบยักษ์" ของพวกเขานั้นประกอบด้วย...
- เตะ 26
ชนะแค่ 7
เสมอ 8
และแพ้ (รวมต่อเวลาหรือจุดโทษ) 11
ชนะแค่ 7 จาก 26 นัด เท่ากับเปอร์เซ็นต์การล้มยักษ์ของทัพสิงโต ต่ำแค่ 27% เท่านั้น หรือคือ "ไม่ถึงหนึ่งในสาม" นั่นเอง
เช่นกัน การอกหักในรอบสุดท้าย ทั้งยูโรและฟุตบอลโลก ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ก็หนีไม่พ้นเรื่องนี้ อย่างที่ได้กล่าวถึงไปแล้วในหัวข้อด้านบน
เพราะฉะนั้น กับรอบคัดเลือก ยูโร 2024 ที่กำลังดำเนินไปอย่างสวยสดงดงาม อาจไม่ถึงกับตีตราขั้นว่า "ไร้ความหมาย" แต่ก็พอพูดได้เหมือนกันว่า "ไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง" สักเท่าไหร่ กับการที่พวกเขากราดยิงหมูสนาม 10 ลูก 100 ลูกอย่างที่เป็น
บนความเป็นจริงที่ว่า อังกฤษ ยังแข็งไม่พอ เขี้ยวลากดินไม่พอ ยังขาดอะไรบางอย่างไปที่จะทำให้พวกเขาสามารถก้าวข้าม "ทุกทีม" ของทวีปหรือของโลก เพื่อขึ้นสู่บัลลังก์แชมป์ที่ตามหามากว่า 57 ปี
และตราบใดที่ เอฟเอ ยังมองไม่เห็นเรื่องนี้ ยังไม่สร้างโปรแกรมอุ่นเครื่องกับทีมชั้นนำเหล่านี้ให้บ่อยครั้ง (แทนที่จะเตะกับ สกอตแลนด์, เวลส์ หรือ ออสเตรเลีย) จนนักเตะอังกฤษมี "ภูมิคุ้มกัน" มากพอแล้วล่ะก็
แชมป์ยูโรหรือแชมป์โลก ก็คงเป็นเส้นขนานต่อไป เหมือนเดิม