ผลของการต่อสู้ของ “อดีตกัปตันทีม” - FEATURE

Crystal Palace v Arsenal - Premier League
Crystal Palace v Arsenal - Premier League / Craig Mercer/MB Media/GettyImages
facebooktwitterreddit

ชัยชนะของ คริสตัล พาเลซ ในเกมเหนืออาร์เซนอล 3-0 ทำให้ฤดูกาลนี้ พวกเขาไม่แพ้ อาร์เซนอลเลยทั้งสองเกมในฤดูกาลนี้ได้ 4 คะแนนเต็ม และนับเป็นชัยชนะที่ทำให้พวกเขายืดอกเต็มที่กับการไม่แพ้ใคร 5 เกมติดต่อกัน (ชนะ 3เสมอ 2) ผลงานแบบนี้ ปาทริค วิเอร่า (45 ปี สัญญาถึงกลางปี 2024) ได้รับไปเต็ม ๆ เช่นเดียวกับที่ช่วงก่อนมีเสียงวิจารณ์จากที่พวกเขาไม่ชนะใคร 6 เกมติดต่อกัน อันนั้นก็เรียกว่า เสียงด่ายังไงก็ไม่เรียบ (ยับ) จนถึงขั้นให้ปลดออกจากตำแหน่งกันเลยก็มี

งานผู้จัดการทีมฟุตบอลก็มักเป็นแบบนี้ วันที่ดีงามทุกอย่างสวยงาม วันไหนตรงกันข้ามวันนั้นน้ำหวานซดหมดแก้วเข้าไปก็ยังขม เพราะคุณจะโดน “พลังลบ” จากทั่วทุกสารทิศวิ่งมาหากันในแบบไม่ได้นัดหมาย แต่พร้อมใจประเคนให้แบบเต็มอารมณ์ เป็นหนึ่งในงานที่ชีวิตขึ้นกับผลงานอย่างแท้จริง ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งลงทุนมาก ความคาดหวังยิ่งสูง ยิ่งอยู่ในระดับพรีเมียร์ ลีก นั่นหมายถึงคุณกำลังทำงานภายใต้การลงทุนหลายร้อยหลายพันล้านปอนด์ ผลงานของคุณคือปลายทางของการลงทุนว่าจะคุ้มค่าหรือไม่ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจไปว่าทำไมรายได้ของพวกเขาถึงได้สูงนัก เพราะงานของพวกเขาไม่มีการ “ออกสิ้นเดือนนี้” มีแต่ “แจ้งวันนี้ออกเดี๋ยวนี้” เท่านั้น

แน่นอนในวันนี้ วิเอร่า ก็จะได้รับพลังบวกไปแบบเต็ม ๆ มีความสุขกับสามคะแนนที่พวกเขาสมควรได้รับกับผลงานที่ออกมา ส่วนอาร์เตต้าก็ทำใจเตรียมรับแรงกระแทกมากมายที่จะเกิดขึ้นกับเขาโดยตรงเช่นกัน การเจอกันของสองอดีตกัปตันทีมอาร์เซนอลที่เข้าสู่เส้นทางคุมทีมในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ผลที่ออกมาคือ วิเอร่า ทำได้ดีกว่าทั้งสองเกม และทั้งสองเกมมีความคล้ายคลึงกันในเรื่องของรูปเกม แต่ที่ต่างไปคือสกอร์ที่ออกมา โดยเรามีการประเมินเหตุผลแห่งการ “ปืนแตก” ของพวกเขาดังนี้

เกมเพรสซิ่ง

การเล่นเพรสซิ่งของพาเลซ วันนี้ทำงานกันได้ผลดีมาก พวกเขาเลือกการเล่นเพรสซิ่งตั้งแต่พื้นที่แดนบน พวกเขาเลือกสามตัวรุก จอร์แดน อายิว, ฌอง-ฟิลลิปส์ มาเตต้า และ วิลฟรีด ซาฮา ไล่บอลในแดนบน หนึ่งร่างใหญ่ สองความเร็วจัด ไล่กดดันการเซตบอลหน้าประตูของอาร์เซนอลได้อย่างดี ทั้งนายทวาร และกองหลังอาร์เซนอล ให้ทำงานยากที่สุด กองกลางช่วยกันบีบพื้นที่เมื่อบอลมาถึงกองกลางอาร์เซนอล ทำวนลูปกันอยู่แบบนี้แทบจะตลอดเกม ทำไปเรื่อย ๆ ให้อาร์เซนอลผิดพลาดและมันก็เกิดขึ้นจริง ขณะที่ อาร์เซนอล ไล่ไม่จน ไล่ไม่สุดแบบที่เคยทำมาก่อนในหลายเกมที่ผ่านมา

ความผิดพลาดในเกมรับ

จังหวะของการเสียประตูแรก จุดเริ่มต้นจากการเสียฟาลว์ของ เบน ไวท์ และกลายเป็นลูกตั้งเตะที่เปิดข้ามฟากไปยังเสาไกลลูกนี้ จุดพลาดที่หนึ่งคือการ “ประกบตัว” ของ นูโน่ ตาวาเรส แบ็คซ้ายที่เพิ่งได้ลงเล่นเกมที่สองในรอบ 11 เกมหลังสุดผิดพลาด ขณะที่ตัวที่อยู่ด้านหน้าอย่าง กาเบรียล ก็โหม่งไม่ถึงบอล กลายเป็นให้ผู้เล่นพาเลซ ได้โหม่งย้อนมาตรงกลางและกลายเป็น มาเตต้า โถมโหม่งระยะหกหลาไม่มีพลาด

จังหวะการเสียประตูที่สอง จุดเริ่มต้นการเสียบอลกลางทางที่ก็เกิดจากการเพรสซิ่ง และ พาเลซ เลือกเปิดทแยงบอลข้ามฟาก ก่อนที่ กาเบรียล ที่พุ่งเข้าหาบอลเพื่อสกัดจะสกัดไม่โดน กลายมาเป็นบอลถึง อายิว ได้ลากเข้าไปยิงประตู ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่ ตาวาเรส ในฐานะแบ็คซ้าย เสียจังหวะจากการไม่คาดคิดว่าเพื่อนร่วมทีมพลาด ตามประกบไม่ทันไปด้วยอีกคน

ทั้งสองประตูไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามาจาก โยฮาคิม อันเดอร์เซ่น ซึ่งเป็นกองหลังตัวกลางได้แอตซิสต์ทั้งหมด

Emile Smith Rowe
Crystal Palace v Arsenal - Premier League / Mike Hewitt/GettyImages

การบีบให้เล่นตรงกลางมากกว่าริมเส้น

อาร์เซนอล เป็นทีมที่เล่นเกมบุกมันส์มาตลอด ขึ้นเกมด้วยริมเส้นสองฝั่งซ้ายขวาในการสร้างโอกาส กองหน้าตัวเป้าของทีม อเล็กซองเดร ลากาแซตต์ รับบทบาทของการเล่นเหมือนกองกลางตัวรุกเชื่อมเกม ไม่ได้เล่นเป็นหน้าเป้าในเขตโทษเพียงอย่างเดียว ดังนั้นประสิทธิภาพในเกมบุกตรงกลางของอาร์เซนอลจึงไม่ใช่เกมรุกหลัก

พาเลซ มองการเล่นริมเส้นคือหัวใจของอาร์เซนอล และพวกเขาพยายามทำทุกทางในการบีบให้อาร์เซนอล ออกบอลอยู่ตรงกลางเสียเป็นส่วนมาก ใช้กองกลางเคลื่อนที่ร่วมกับกองหลัง บีบพื้นที่ในการปิดริมเส้นของทีมปืนใหญ่ให้มากที่สุด

เกมนี้อาร์เซนอลโดยเฉพาะใน 45 นาทีแรก “บอลบอด” ทางซ้ายแทบจะสนิท เอมิล สมิธ โรว์ เคลื่อนที่ไม่ได้เร็ว และเมื่อเจอบีบพื้นที่การเล่นแบบ 1 ต่อ 2 เขา ต้องหวังพึ่งการเติมเกมของแบ็คซ้ายอย่าง ตาวาเรส ซึ่งก็ดันเล่นด้วยกันไม่ลื่นไหลแบบเดียวกับที่เทียร์นีย์เล่นร่วมกับเขา กลายเป็นความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น แทนที่จะช่วยเสริมกัน กลายเป็นปัญหาเพิ่มขึ้นมาแทน และไม่แปลกใจที่สุดท้าย ตาวาเรส จบครึ่งแรกจะโดนเปลี่ยนตัวออกทันที

บอลทางขวาของอาร์เซนอลดูดีกว่า ซาก้า ด้วยความเร็ว คล่องตัว เขาสร้างจังหวะให้ตนเองได้ดีกว่า แต่ก็เช่นกันที่คุณภาพของเขาก็ไม่เฉียบคมพอในวันนี้ ส่วนแบ็คขวา เซดริก โซอาเรส วันนี้งานหนักมากสำหรับเขาคือการประกบ วิลฟรีด ซาฮา ที่เขาทั้งด้อยกว่าทั้งเทคนิค และความเร็ว ดังนั้นเราจะเห็นน้อยมากที่เซดริกจะขึ้นมาช่วยในเกมรุกได้

อย่าลืมว่าแนวรุก คริสตัล พาเลซ ด้านบนมี หนึ่งร่างใหญ่ สองความเร็วจัด คอยกดเอาไว้ + เพรสซิ่งกดดันกลางสนาม หากได้บอลคืนพวกเขาก็พร้อมจะสวนกลับทันที ขณะที่อาร์เซนอลแบ็คหนึ่งคน ประสบการณ์น้อย อีกคนเจองานหนักกับการไล่ตามความเร็วของแนวรุกพาเลซ

การเปลี่ยนแปลงทีมอาร์เซนอลในครึ่งหลังส่ง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ลงมาเห็นได้ชัดว่าทีมมีพื้นที่เจาะได้มากขึ้น “กาบิ” คล่องตัว ปราดเปรียว และก็น่าจะทำให้เกิดความแตกต่างในเกมนี้ได้ แต่ในเมื่อโอกาสที่สร้างขึ้นมาไม่เป็นประตู ก่อนที่จะเข้าทางคู่แข่งด้วยการพลาดอีกครั้งกับการเสียจุดโทษ จากจังหวะเสียบอลกลางสนามของปาเตย์ ที่เขาบาดเจ็บไปด้วยจากจังหวะนี้ เกมก็แทบจะจบอย่างไม่เป็นทางการตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

FBL-ENG-PR-CRYSTAL PALACE-ARSENAL
FBL-ENG-PR-CRYSTAL PALACE-ARSENAL / ADRIAN DENNIS/GettyImages

คุณภาพในเชิงลึกของผู้เล่นในทีม และการเปลี่ยนตัวที่เดาง่าย

อาร์เซนอล เป็นทีมที่มีจำนวนผู้เล่นชุดใหญ่เพียง 20 คนเท่านั้น หากตัดนายทวารสองคนของทีมเท่ากับพวกเขามีผู้เล่นเอ้าท์ฟิลด์เหลือเพียง 18 คน เมื่อเกมนี้ก่อนเกมพวกเขาต้องเสียทั้ง โทมิยาสุ, เทียร์นีย์ และ เปเป้ ไปพร้อมกันถึงสามคน ทำให้พวกเขาเหลือทีมชุดใหญ่เพียง 15 คน ทำให้ทุกเกมพวกเขาจะต้องใช้นักเตะดาวรุ่งขึ้นมานั่งข้างสนามหลายคน การจัด 11 ตัวแรกของอาร์เซนอล หรือกระทั่งการเปลี่ยนตัว “เป็นสิ่งที่ถูกคาดเดาได้ง่าย” ด้วยทางเลือกจำกัดของพวกเขา และสถิติก็บ่งชัดว่านักเตะดาวรุ่งที่ติดเป็นตัวสำรองขึ้นมา อาร์เตต้า ไม่เคยเลือกใช้งานเลย ยิ่งทำให้ถูกคาดเดาได้ง่ายเข้าไปอีก ดังนั้นการเตรียมทีมรับมืออาร์เซนอล จึงเป็นการเตรียมทีมที่ง่ายขึ้นสำหรับคู่แข่งทุกทีมด้วยเช่นกัน

เกมนี้เมื่อ ลากาแซตตต์ เล่นไม่ออกมาในฐานะของหน้าเป้า พวกเขามีทางเลือกเพียง เอ็ดดี้ เอนเคเธีย เพียงคนเดียว เช่นเดียวกับการเสีย คีแรน เทียร์นีย์ และต้องเลือกใช้ นูโน่ ตาวาเรส ลงตัวจริง คุณภาพของพวกเขาเทียบไม่ได้ หรือไม่ได้ต่างจากคนที่มีอยู่มากจนทำให้เกมสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ในวันที่เกมไม่ได้เหนือกว่า ได้กดดันมากกว่า เกมนี้จึงกลายเป็นอีกเกมที่ผิดหวังของอาร์เซนอลในที่สุด

Patrick Vieira
Crystal Palace v Arsenal - Premier League / Sebastian Frej/MB Media/GettyImages

พาเลซจบเกมนี้ขึ้นมาอันดับ 9 ได้อย่างสวยงาม มองในตารางแข่งขันแล้ว พวกเขาอาจจะไต่ได้สูงสุดเพียงเท่านี้ ขึ้นกับผลงานของตนเอง และทีมอื่นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามกับปีแรกของทีมที่อยู่ท้ายตารางมาตลอดหลายปี พวกเขาเติบโตขึ้นในทางที่ดีกว่าเดิม และคงได้เห็นอะไรอีกไม่น้อยในทีมของ ปาทริค วิเอร่า ว่าจะมีทีเด็ดอีกแค่ไหนใน 8 เกมสุดท้าย รวมถึงในเอฟเอ คัพ ที่พวกเขามาถึงรอบรองชนะเลิศแล้ว

อาร์เซนอล การสะดุดหัวทิ่มครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง เสียทั้งสามคะแนน เสียสามประตู และเสียผู้เล่นเพิ่มอีกสามคนในวันเดียว แต่พวกเขายังคงได้ถือชะตากรรมของตนเองไว้ในมือต่อไปกับ 9 เกมสุดท้ายของพวกเขา ที่ถ้าหากมันจะ “ได้” หรือ “ไม่ได้” ผลงานของพวกเขาจะเป็นคำตอบ เมื่อวันนี้ปัญหามากมายเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องแก้กันต่อไป อาร์เซนอลไม่ใช่ทีมเดียวที่มีปัญหา

พรีเมียร์ ลีก คือลีกที่ยากที่สุดลีกหนึ่งของโลก แต่ที่ไม่ต่างจากลีกอื่นเลยคือ แนวทางของการประสบความสำเร็จ ที่ต้องเริ่มต้นจากความสม่ำเสมอในผลงานที่ดีเป็นอันดับแรกเสมอ ใครสม่ำเสมอมากที่สุด ทีมนั้นจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการรอคอยอย่างแน่นอน อีกไม่ถึงสองเดือนเราจะได้รู้กันแล้วว่าใครควรได้อะไร หรือจำใจได้ในสิ่งที่ไม่อยากได้ไปครอบครอง