บทวิเคราะห์ ยูโร 2024 : ฟังธงใครรุ่ง-ใครร่วง ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มจนถึงรอบชิงชนะเลิศกลางปีนี้

  • ยูโร 2024 จะเริ่มลงฟาดแข้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 มิถุนายนที่จะถึงนี้
  • อิตาลี เป็นแชมป์เก่าเมื่อหนที่ผ่านมา ส่วน ฝรั่งเศส และ อังกฤษ ยังคงเป็นสองทีมเต็งในปีนี้
  • ทำนายความเป็นไปได้ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มจนถึงรอบชิงชนะเลิศว่าใครจะเป็นผู้คว้าแชมป์ไปครอง

Germany will host Euro 2024 this summer / Alexander Hassenstein/GettyImages
Germany will host Euro 2024 this summer / Alexander Hassenstein/GettyImages /
facebooktwitterreddit

อย่างน้อยเหล่าบรรดาแฟนบอลก็จะไม่ต้องนั่งเบื่อกันนานนักเมื่อฟุตบอลลีกใหญ่ ๆ ของยุโรปปิดฤดูกาลลง เพราะปีนี้จะมีศึก ยูโร 2024 ที่จัดว่าได้รับความนิยมในบ้านเรามาคั่นกลางเป็นเวลา 1 เดือนเต็ม

ซึ่งช่วงที่ผ่านมาเราทราบถึงโฉมหน้าทั้ง 24 ทีมที่จะเดินทางไปลงฟาดแข้งกันที่ประเทศเยอรมนีกันแล้ว รวมถึงโฉมหน้าของรอบแบ่งกลุ่มว่าใครอยู่สายใดกันบ้าง ซึ่งวันนี้เราจะลองมาวิเคราะห์ดูกันว่าแต่ละสายใครจะเข้ารอบ รวมถึงรอบน็อคเอาท์ใครจะไปได้ไกลแค่ไหน และที่สำคัญที่ใครจะเป็นผู้ชนะทัวร์นาเมนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งทวีปยุโรปครั้งนี้

UEFA EURO 2024 Final Tournament Draw
UEFA EURO 2024 Final Tournament Draw / Marvin Ibo Guengoer - GES Sportfoto/GettyImages

รอบแบ่งกลุ่ม

กลุ่ม เอ

แน่นอนว่าเจ้าภาพอย่างเยอรมนีจะยังเป็นทีมที่ถูกจับตามองมากที่สุดด้วยผลงานการอุ่นเครื่องที่ดูมีของ รวมถึงการกลับมารับใช้ชาติของ โทนี โครส ขณะที่อีกสามทีมอย่าง สกอตแลนด์ ฮังการี และ สวิตเซอร์แลนด์ นั้นมีความใกล้เคียงกันแต่ถ้าให้หาอีกทีมที่เข้ารอบขอยกให้เป็น สวิตเซอร์แลนด์ ที่มักจะเป็นขาประจำในรอบน็อคเอาท์ตบเท้าตาม พลพรรคอินทรีเหล็ก เข้ารอบไป

อันดับ

ทีม

1

เยอรมนี

2

สวิตเซอร์แลนด์

3

ฮังการี

4

สกอตแลนด์

Germany v Netherlands - International Friendly
Germany v Netherlands - International Friendly / Ralf Ibing - firo sportphoto/GettyImages

กลุ่ม บี

"กรุ๊ปออฟเดท" ในยูโร 2024 อย่างแท้จริงกับการมียักษ์ใหญ่อย่าง สเปน อิตาลี และ โครเอเชีย ร่วมสายกัน ซึ่งหากดูจากสภาพทีมและผลงานในช่วงที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทัพกระทิงดุ ยังเป็นทีมที่น่าจับตามองมากที่กับดาวรุ่งหน้าใหม่ฝีเท้าดีที่ก้าวขึ้นมามีบทบาทกับทีมมากขึ้น ขณะที่ อิตาลี แชมป์เก่ามีการเปลี่ยนถ่ายสายเลือดครั้งใหญ่ตลอดช่วงที่ผ่านมาทำให้อาจยังต้องใช้เวลาในการหาคนที่ใช่เข้ามาติดทีม ส่วน โครเอเชีย นักเตะแกนหลักส่วนใหญ่ยังคงเป็นชุดเดิมที่เป็นยุคทองของพวกเขาซึ่งแต่ละคนก็อายุมากขึ้นและโรยราไปตามกาลเวลา และคงต้องเสียใจกับ อัลแบเนีย กับการเป็นทีมนอกสายตาในกลุ่มนี้

อันดับ

ทีม

1

สเปน

2

อิตาลี

3

โครเอเชีย

4

อัลแบเนีย

Alvaro Morata
Spain v Brazil - International Friendly / Diego Souto/GettyImages

กลุ่ม ซี

อีกหนึ่งกลุ่มที่น่าจับตามองเพราะมีทีมขวัญใจชาวไทยอย่างทีมชาติอังกฤษที่ต้องบอกว่าน่าจะไม่เจองานหนักมากนักกับการผ่านเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม ขณะที่ เดนมาร์ก เซอร์เบีย และ สโลวิเนีย จะต้องแย้งตั๋วใบสุดท้ายเพื่อเข้ารอบในฐานะอันดับที่ 2 ของกลุ่ม ซึ่งคาดว่า ทัพโคนม ที่นำโดย 2 สตาร์จาก แมนฯ ยูไนเต็ด อย่าง คริสเตียน เอริคเซน และ ราสมุส ฮอยลุนด์ น่าจะมีโอกาสมากที่สุดจากการที่พวกเขามักจะเข้ารอบน็อคเอาท์ได้บ่อย ๆ ในช่วงหลัง

อันดับ

ทีม

1

อังกฤษ

2

เดนมาร์ก

3

เซอร์เบีย

4

สโลวิเนีย

England v Belgium - International Friendly
England v Belgium - International Friendly / Isosport/MB Media/GettyImages

กลุ่ม ดี

กลุ่มนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กันกับการมีทีมใหญ่อย่าง ฝรั่งเศษ และ เนเธอร์แลนด์ส ขณะที่อีกสองทีมก็ไม่ธรรมดาเพราะมีทั้ง ออสเตรีย และ โปแลนด์ อยู่ร่วมสาย แน่นอน ทีมตราไก่ เต็งหนึ่งของรายการน่าจะผ่านเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม

อย่างไรก็ตามสำหรับอันดับสองนั้นมีโอกาสที่ม้ามึดอย่าง ออสเตรีย ภายใต้การทำทีมของกุนซือ ราล์ฟ รังนิค มีโอกาสเบียด ฮอลแลนด์ ไปได้เพราะ ทัพอัศวินสีส้ม ณ เวลานี้ดูยังไม่เข้าที่เข้าทางนักภายใต้การทำทีมของ โรนัลด์ คูมัน ฟาน ไดจ์ค ก็เริ่มโรยรา แฟรงกี้ ก็แทบจะแบกแดนกลางอยู่คนเดียว แถมตัวรุกหลาย ๆ คนก็ไม่ได้เป็นตัวหลักให้กับสโมสร ซึ่งก็ต้องมาลุ้นกันว่า ทัพกังหันลม จะทำผลงานได้ดีมากน้อยแค่ไหน ส่วน โปแลนด์ รอบคัดเลือกทำได้ไม่ดีนักและต้องเพลย์ออฟเข้ามาแบบหืดจับฉนั้นน่าจะจอดป้ายแค่รอบแบ่งกลุ่มนี้เท่านั้น

อันดับ

ทีม

1

ฝรั่งเศส

2

ออสเตรีย

3

เนเธอร์แลนด์ส

4

โปแลนด์

Denzel Dumfies, Donyell Malen, Frenkie De Jong, Matthijs De Ligt
Republic of Ireland v Holland -EURO Qualifier / Soccrates Images/GettyImages

กลุ่ม อี

จะเรียกว่าเป็นกลุ่มนอกสายตาก็ว่าได้กับการมีทีมอย่าง เบลเยียม ยูเครน โรมาเนีย และ สโลวาเกีย ซึ่งแน่นอนทีมที่ดูจะมีมาตรฐานกว่าใครเพื่อนก็น่าจะเป็น เบลเยียม ที่มีสตาร์อย่าง เควิน เดอ บรอยน์ คอยแบกเกมรุกอยู่ ขณะที่ ยูเครน เองหนนี้ก็มีนักเตะหลายคนที่น่าสนใจทั้งสองสตาร์จาก กิโรนา อย่าง อาร์เตม ดอฟบริก และ วิคตอร์ ซีกานคอฟ รวมถึง โอเล็กซ์ ซินเชนโก้ และ มิเคย์โล มูคริค สองแข้งจาก พรีเมียร์ลีก น่าจะพาทีมผ่านเข้ารอบต่อไปได้สำเร็จ

อันดับ

ทีม

1

เบลเยียม

2

ยูเครน

3

โรมาเนีย

4

สโลวาเกีย

Arthur Theate, Zeno Debast, Axel Witsel, Jan Vertonghen, Eden Hazard, Simon Mignolet, Lois Openda, Amadou Onana, Leander Dendoncker, Kevin De Bruyne, Timothy Castagne
Belgium v Azerbaijan: Group F - UEFA EURO 2024 European Qualifiers / BSR Agency/GettyImages

กลุ่ม เอฟ

มาถึงกลุ่มสุดท้ายที่มีอีกหนึ่งทีมขวัญใจมหาชนอย่าง โปรตุเกส ของ คริสเตียโน โรนัลโด้ ซึ่งปีนี้นักเตะหลายคนผลงานเข้าตามาก ๆ ซึ่งก็น่าจะเข้ารอบเป็นแชมป์กลุ่มได้หากไม่มีอะไรผิดพลาด ขณะที่ตั๋วใบสุดท้ายคงจะเป็น ตุรกี และ สาธารณรัฐเช็ก ที่ต้องแย่งชิงกัน และอาจจะเป็น ตุรกี ที่อาจจะเฉือนปาดหน้าเข้ารอบไปได้จากองค์ประกอบทีมที่ดูจะสมดุลในทุกตำแหน่ง ขณะที่ จอร์เจีย คงจะมาเน้นเข้าร่วมไม่เน้นเข้ารอบ !

อันดับ

ทีม

1

โปรตุเกส

2

ตุรกี

3

สาธารณรัฐเช็ก

4

จอร์เจีย

Cristiano Ronaldo
Slovenia v Portugal - International Friendly / Jurij Kodrun/GettyImages

รอบ 16 ทีมสุดท้าย

หลังจากปี 2016 เป็นต้นมารอบ 16 ทีมสุดท้ายจะนำอันดับ 3 ที่ผลงานดีที่สุด 4 ทีมในแต่ละกลุ่มเข้ารอบน็อคเอาท์มาด้วย ซึ่งทาง 90min เองมองว่า 4 ทีมดังกล่าวน่าจะประกอบด้วย โครเอเชีย ฮังการี เซอร์เบีย และ เนเธอร์แลนด์ส

ซึ่งนั่นจะทำให้หน้าตาของรอบ 16 ทีมสุดท้ายผลประกบคู่จะมีดังนี้

คู่แข่งขัน

ผู้ชนะ

สวิตเซอร์แลนด์ - อิตาลี

อิตาลี

เยอรมนี - เดนมาร์ก

เยอรมนี

อังกฤษ - โครเอเชีย

อังกฤษ

สเปน - ฮังการี

ฮังการี

ออสเตรีย - ยูเครน

ออสเตรีย

โปรตุเกส - เนเธอร์แลนด์ส

โปรตุเกส

เบลเยียม - เซอร์เบีย

เบลเยียม

ฝรั่งเศส - ตุรกี

ฝรั่งเศส

หนึ่งในคู่ที่คาดว่าจะพลิกล็อคนั่นคือการที่ ฮังการี อาจจะเอาชนะยักษ์ใหญ่อย่าง สเปน ได้ด้วยเกมรับอันแข็งแกร่ง ซึ่ง ทัพกระทิงดุ มักจะตกม้าตายในเกมน็อคเอาท์แบบนัดเดียวจอดโดยเฉพาะกับทีมที่ตั้งรับเหนียวแน่น ซึ่งหากยื้อไปถึงการดวลจุดโทษได้โอกาสก็แทบจะเป็น 50-50 เลยก็ว่าได้

Ralf Rangnick
Austria v Turkiye - International Friendly / Robbie Jay Barratt - AMA/GettyImages

รอบ 8 ทีมสุดท้าย

และแล้วเราก็มาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายซึ่งเหลือแต่ทีมระดับยักษ์ของทวีปบวกกับม้ามึดประจำทัวร์นาเมนต์อย่าง ฮังการี ที่จะต้องมาพบกับเจ้าภาพ เยอรมนี รวมถึง ออสเตรีย ที่จะพบกัยอีกหนึ่งทีมเต็งอย่าง โปรตุเกส และอีกสอสองคู่ ไฮไลท์อย่าง เบลเยี่ยม ที่จะเจอกับ ฝรั่งเศส รวมถึงการรีรันคู่ชิงชนะเลิศ ยูโร 2020 อย่าง อังกฤษ ที่จะพบกับ อิตาลี

คู่แข่งขัน

ผู้ชนะ

เยอรมนี - ฮังการี

เยอรมนี

โปรตุเกส - ออสเตรีย

โปรตุเกส

เบลเยียม - ฝรั่งเศส

ฝรั่งเศส

อังกฤษ - อิตาลี

อังกฤษ

ซึ่งเรามองว่าไม่น่าจะมีการพลิกล็อคอะไรในรอบนี้ เยอรมนี จะผ่าน ฮังการี มาได้รวมถึง โปรตุเกส จะจัดการกับม้ามึด ออสเตรีย ส่วน ฝรั่งเศส ก็จะมาตามนัด และ อังกฤษ จะล้าตา อิตาลี เข้าสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ

Harry Kane
England v Brazil - International Friendly / Robin Jones/GettyImages

รอบ 4 ทีมสุดท้าย

4 ยักษ์ใหญ่ที่ไม่ว่าใครจะคว้าแชมป์ก็ล้วนแต่สมศักดิ์ศรี ซึ่งรอบนี้ เยอรมนี จะพบกับ โปรตุเกส และอีกคู่ ฝรั่งเศส กับ อังกฤษ

แน่นอนว่ามันยากที่คาดจะคาดเดาเพราะทั้งสองคู่มีโอกาสพลิกล็อคไปมากันได้ตลอด โดยสำหรับคู่แรก เยอรมนี กับ โปรตุเกส ยังมองว่าแม้จะคู่คี่สุด ๆ เมื่อเทียบกันตำแหน่งต่อตำแหน่งแต่เชื่อว่าความหวือหวาของ โปรตุเกส น่าจะมีทีเด็ดในการปราบเจ้าบ้านที่เน้นความคงเส้นคงวาไปได้

ขณะที่อีกคู่เป็นการพบกันของเต็งหนึ่งและสองของรายการ แม้จะเทใจอยากให้อังกฤษประสบความสำเร็จมากแค่ไหน แต่การพบกันของสองทีมนี้ในช่วงหลัง ทีมตราไก่ มักจะข่มอยู่เสมอ โดยเฉพาะทีเด็ดของ คิเลียน เอ็มบัปเป้ น่าจะช่วยให้พวกเขาเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปได้ในที่สุด

คู่แข่งขัน

ผู้ชนะ

เยอรมนี - โปรตุเกส

โปรตุเกส

ฝรั่งเศส - อังกฤษ

ฝรั่งเศส

Cristiano Ronaldo
Slovenia v Portugal - International Friendly / Jurij Kodrun/GettyImages

รอบชิงชนะเลิศ

รอบชิงชนะเลิศปีนี้รีรันรอบชิงในศึก ยูโร 2016 ที่ผ่านมา ซึ่งอย่างที่ทราบดีว่าตอนนั้น โปรตุเกส ได้ทีเด็ดจาก เอแดร์ ส่องไกลในช่วงต่อเวลาพิเศษดับความฝันฝรั่งเศสลงไปส่ง คริสเตียโน โรนัลโด้ คว้าแชมป์ระดับทวีปมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่

และสำหรับปีนี้การโคจรมาพบกันอีกครั้งนั้นจะต่างออกไปเพราะนอกจาก อ็องตวน กรีซมันน์ แข้งยอดเยี่ยมแห่งทัวร์นาเมนต์เมื่อปี 2016 ยังอยู่ พวกเขายังมีสตาร์ดวงใหม่ที่มาแรงกว่าเดิมอย่าง คิเลียน เอ็มบัปเป้ เข้ามาเสริมแรง แน่นอนว่าแม้ โปรตุเกส เองก็มีดาวดวลใหม่ขึ้นมาหลายคนแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับเขาคนนี้ที่ว่ากันว่าเป็นอันดับหนึ่งหลังจากยุค โรนัลโด้ และ เมสซี ด้วยเหตุนั้นเอง

ฝรั่งเศส จะคว้าแชมป์ ยูโร 2024 มาครองได้ในที่สุด

นอกจากนี้ เอ็มบัปเป้ จะคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ไปครองได้อีกด้วย

คู่แข่งขัน

ผู้ชนะ

ฝรั่งเศส - โปรตุเกส

ฝรั่งเศส

Kylian Mbappé
Paris Saint-Germain Training Session And Press Conference - UEFA Champions League 2023/24 / Stuart Franklin/GettyImages