ดไวท์ ยอร์ค: ตามรอย 1 ในท็อป 20 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล พรีเมียร์ลีก

Dwight Yorke
Dwight Yorke / Shaun Botterill/GettyImages
facebooktwitterreddit

ดไวท์ ยอร์ค ตำนานหัวหอกของ พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ที่เคยค้าแข้งกับทั้ง แอสตัน วิลลา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เบอร์มิงแฮม และ ซันเดอร์แลนด์ แน่นอนว่าเขามีดีกรีเป็นถึงหนึ่งในดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในยุค พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ปี 1992 มาจนถึงปัจจุบัน

วันนี้เราจะพาแฟน ๆ 90Min ย้อนวันวานไปชมยุครุ่งเรื่องของดาวยิงชาวตรินิแดดและโตเบโกรายนี้ กับการเป็น 1 ใน 20 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล พรีเมียร์ลีก... อันดับที่ 18 ดไวท์ ยอร์ค !


เส้นทางสู่รัง สิงห์ผงาด

เกรแฮม เทย์เลอร์ ผู้จัดการทีมของ แอสตัน วิลลา ได้ค้นพบเพชรเม็ดงามในย่านเวสต์อินดีส์เมื่อปี 1989 ระหว่างที่ทีมกำลังเดินสายอุ่นเครื่องก่อนเปิดฤดูกาล ซึ่ง เทย์เลอร์ ไปถูกใจฟอร์มการเล่นของหนุ่มน้อยนามว่า ดไวท์ ยอร์ค ที่ขณะนั้นวัยเพียง 17 ปีเข้าอย่างจัง จนต้องสั่งให้ทีมงานเรียกตัวเข้ามาทดสอบฝีเท้ากับ สิงห์ผงาด เป็นการด่วน ซึ่งหลังจากเซ็นสัญญากับ วิลลา และลงเล่นกับทีมสำรองอยู่หนึ่งปี เจ้าตัวก็ได้รับโอกาสลงสนามในลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในปี 1990 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของตำนานดาวยิงรายนี้

หลังจากนั้น ยอร์ค ก็ค่อย ๆ พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาจนในฤดูกาล 1992/93 เจ้าตัวยึดตัวหลักในถิ่น วิลลา พาร์ค มาครองได้อย่างเหนียวแน่น ก่อนจะระเบิดฟอร์มเก่งพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพมาครองได้ถึงสองสมัยในปี 1994 และ 1996 โดยช่วง 3 ปีสุดท้ายกับ แอสตัน วิลลา เจ้าตัวยิงไปได้ถึง 53 ประตู กระทั่งช่วงหน้าร้อนปี 1998 เขาได้รับข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้จากยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนั่นทำให้เส้นทางการค้าแข้งของ ยอร์ค มุ่งตรงเข้าสู่ โรงละครแห่งความฝัน ในที่สุด..

Dwight Yorke
Dwight Yorke / Clive Brunskill/GettyImages

จุดสูงสุดและต่ำสุดกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ในปี 98/99 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกของเขากับ ปีศาจแดง เจ้าตัวสามารถระเบิดฟอร์มเก่งทำได้ 29 ประตูกับ 20 แอสซิสต์รวมทุกรายการ พาทีมคว้าทริปเบิลแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่พร้อมพ่วงรางวัลดาวซัลโวสูงสุดใน พรีเมียร์ลีก และใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จนถูกยกให้เป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก ณ เวลานั้น โดยปีต่อมา ยอร์ค ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการกดไปอีก 23 ประตูพา แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกมาครองได้อีกหนึ่งสมัย แต่หารู้ไม่ว่าอีกไม่นานจุดตกต่ำกำลังจะเข้ามาเยือน...

เพราะหลังจากนั้นในวัย 29 ปีดูเหมือนจะเริ่มเข้าสู่ขาลงในอาชีพการค้าแข้งอย่างเต็มตัว โดยในฤดูกาล 2000/01 ผลงานของเขาตกลงไปอย่างน่าใจหายบวกกับอาการบาดเจ็บที่เข้ามารบกวนจนทำให้โอกาสในการลงสนามไม่ต่อเนื่องเหมือนในปีก่อน ๆ จนทำให้จบฤดูกาลด้วยผลงาน 11 ประตูรวมทุกรายการ น้อยที่สุดนับตั้งแต่ค้าแข้งอยู่กับ แอสตัน วิลลา ในปี 94/95

กระทั่งปี 2001/02 นับว่าเป็นการปิดม่านของเขากับ ปีศาจแดง อย่างเป็นทางการเลยก็ว่าได้หลังจากทีมไปเซ็นสัญญาคว้าตัวกองหน้ามหากาฬอย่าง รุด ฟาน นิสเทลรอย ทำให้ ยอร์ค ที่เดิมที่โอกาสลงสนามก็น้อยอยู่แล้วแทบจะหลุดออกไปจากทีมโดยสมบูรณ์แบบ และในที่สุดหน้าร้อนปี 2002 เจ้าตัวตัดสินใจย้ายออกจาก โรงละครแห่งความฝัน ไปซบอก แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในที่สุด

Dwight Yorke and Alex Ferguson
Dwight Yorke and Alex Ferguson / Clive Brunskill/GettyImages

บั้นปลายอาชีพการค้าแข้ง

ปีแรกกับ แบล็คเบิร์น แม้จะไม่เทียบเท่ากับสมัยที่ยังพีค ๆ แต่ก็ถือว่าฟอร์มการเป็นมือสังหารก็กลับมาอยู่บ้างเล็กน้อยด้วยผลงาน 13 ประตู ก่อนที่ปีต่อ ๆ มาบทบาทจะลดน้อยลง กระทั่งในปี 2004 เจ้าตัวตัดสินใจย้ายทีมอีกครั้งไปเล่นกับ เบอร์มิงแฮม ด้วยสัญญา 1 ปี หลังจากหมดสัญญาเจ้าตัวตัดสินใจมองหาความท้าทายใหม่ ๆ ด้วยการโยกไปเล่นในลีกออสเตรเลียกับ ซิดนีย์ เอฟซี ยิงไปได้ 7 ประตูก่อนคว้าแชมป์ลีกสูงสุดในประเทศมาครองได้ ซึ่งซีซั่นต่อมาในปีปี 2006 ซันเดอร์แลนด์ ตัดสินใจดึงตัวเขากลับสู่อังกฤษอีกครั้ง โดย ยอร์ค พา ทัพแมวดำ เลื่อนชั้นขึ้นมาบน พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จในฤดูกาลดังกล่าว ก่อนจะค้าแข้งในถิ่น สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ อีก 2 ปี จนในช่วงกลางปี 2009 เจ้าตัวก็ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในวัย 37 ปี ทำสถิติยิงประตูไปได้ถึง 122 ลูกจากการลงสนาม 375 เกมใน พรีเมียร์ลีก ซึ่งนับเป็นอันดับที่ 18 ของดาวยิงสูงสุดในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของอังกฤษนับตั้งแต่ปี 1992 เลยทีเดียว

Dwight Yorke
Aston Villa v Sunderland - Barclays Premier League / Ian Walton/GettyImages

สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด