ส่อง 6 แข้งผู้สวมเสื้อ "หมายเลข 7" ให้บิ๊ก 6 พรีเมียร์ลีก - FEATURE

FBL-ENG-PR-MAN UTD-NEWCASTLE
FBL-ENG-PR-MAN UTD-NEWCASTLE / OLI SCARFF/Getty Images
facebooktwitterreddit

หลังจากที่ คริสเตียโน โรนัลโด้ ย้ายกลับมาเขย่า พรีเมียร์ลีก กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกครั้ง ทำให้แฟนบอลทั่วโลกต่างรู้สึกตื่นเต้นและจับตามองการรียูเนียนครั้งนี้

ยิ่งการที่ได้สวมเสื้อหมายเลข 7 ตัวเก่ง ยิ่งทำให้ “เด็กผี” เริ่มฝันถึงคืนวันอันหอมหวานกับความสำเร็จที่เจ้าตัวได้สร้างไว้เมื่อ 12 ปีก่อน โดยหวังว่านี่คือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะทำให้พวกเขาคืนสู่บัลลังก์แชมป์ของเกาะอังกฤษได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึง หมายเลข 7 เราก็อยากรู้เหมือนกันว่าทีมบิ๊ก 6 อื่น ๆ มีใครบ้างที่ใช้เบอร์นี้และมีความสำคัญกับทีมมากขนาดไหน

อาร์เซนอล : บูคาโย ซาก้า - สถิติใน พรีเมียร์ลีก : 68 นัด 6 ประตู 8 แอสซิสต์

Max Aarons, Bukayo Saka
Arsenal v Norwich City - Premier League / Julian Finney/Getty Images

ซาก้า ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของ อาร์เซนอล ในซีซันนี้ หลังจากที่มีโอกาสโชว์ฟอร์มในทีมชุดใหญ่ในช่วง 2 ซีซันหลังสุด รวมทั้งการได้มีชื่อในทีมชาติอังกฤษชุด ยูโร 2020 เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาด้วย

รายงานล่าสุดจาก ฟาบริซิโอ โรมาโน บอกว่าเริ่มมีหลายทีมให้ความสนใจแข้งริมเส้นรายนี้กันมากขึ้น และแน่นอนว่า เดอะกันเนอร์ส ก็ต้องโดดขวางทางอย่างเต็มตัวเพราะนี่คืออนาคตของพวกเขาในการกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ พรีเมียร์ลีก อีกครั้ง

สำหรับผลงานในฤดูกาลนี้ลงเล่นไปแล้ว 4 นัด เป็นตัวจริง 3 นัดยังทำประตูให้ทีมไม่ได้ แต่เส้นทางของดาวเตะวัย 20 เพิ่งจะเริ่มต้นและต้องลุ้นเอาใจช่วยกันยาว ๆ ว่าจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นตำนานเหมือนดาวเตะรุ่นพี่อย่าง โรแบร์ ปิแรส ได้หรือไม่

เชลซี : เอนโกโล ก็องเต้ - สถิติใน พรีเมียร์ลีก : 196 นัด 10 ประตู 12 แอสซิสต์

Ngolo Kante
Arsenal v Chelsea - Premier League / Michael Regan/Getty Images

เป็นนักเตะเกมรับเพียงคนเดียวที่ได้สวมเสื้อหมายเลข 7 โดยสร้างชื่อให้กับตัวเองด้วยการย้ายมาเล่นกับ เลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2015 และช่วยพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ทันที ก่อนที่จะถูก เชลซี คว้าตัวไปร่วมทีมในซีซันต่อมาและประสบความสำเร็จอีกครั้งด้วยการเป็นแชมป์สมัยที่ 2 พร้อมทั้งแชมป์ เอฟเอคัพ, ยูโรป้าลีก, ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก และ ยูฟา ซูเปอร์คัพ

นอกจากนั้น ก็องเต้ ยังเป็นตัวหลักในทีมชาติฝรั่งเศสพร้อมทั้งประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ด้วยการเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกเมื่อปี 2018 มาแล้วด้วย

กองกลางวัย 30 ปียังคงเป็นตัวหลักของ เชลซี และทีมชาติในปัจจุบัน และด้วยบุคลิกที่เป็นคนถ่อมตัว สมถะ ใช้ชีวิตเรียบง่าย และยิ้มเก่ง ทำให้เขาเป็นที่รักของทั้งแฟนบอล สิงห์บลู และแฟนบอลทั่วโลกอย่างไม่ต้องสงสัย

ลิเวอร์พูล : เจมส์ มิลเนอร์ - สถิติใน พรีเมียร์ลีก : 565 นัด 55 ประตู 86 แอสซิสต์

James Milner
Norwich City v Liverpool - Premier League / Marc Atkins/Getty Images

“น้ามิล” คือหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่คุ้มค่าของ ลิเวอร์พูล เพราะพวกเขาได้ตัวมาจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบฟรี ๆ และเจ้าตัวสามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่ง รวมทั้งด้วยบุคลิกที่มีความเป็นผู้นำสูงทำให้กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ทั้งในและนอกสนาม

มิลเนอร์ ถือเป็นนักเตะคนสำคัญที่ช่วยให้ หงส์แดง ยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นทีมลุ้นแชมป์ในช่วง 4 ปีหลังสุด และประสบความสำเร็จอย่างมากมายด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก, ยูฟา ซูเปอร์คัพ, สโมสรโลก และแชมป์ พรีเมียร์ลีก ครั้งแรกในรอบ 30 ปีของสโมสร

แม้ตอนนี้จะไม่ใช่ตัวเลือกแรกของ คล็อปป์ แต่มิดฟิลด์วัย 35 ก็พร้อมลงสนามทุกเมื่อที่ถูกร้องขอ และก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในเกือบทุกครั้งเสียด้วย

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : ราฮีม สเตอร์ลิง - สถิติใน พรีเมียร์ลีก : 294 นัด 97 ประตู 51 แอสซิสต์

Raheem Sterling, Willi Orban
Manchester City v RB Leipzig: Group A - UEFA Champions League / James Gill - Danehouse/Getty Images

สเตอร์ลิง แจ้งเกิดกับ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ปี 2011 และใช้เวลา 4 ซีซันในการสร้างชื่อให้กับตัวเอง ก่อนที่จะถูก แมนฯ ซิตี้ ทุ่มเงินกว่า 50 ล้านปอนด์คว้าตัวไปร่วมทีม และจากนั้นความสำเร็จก็ไหลมาเทมาอย่างไม่ขาดสาย

การได้มาอยู่ภายใต้การนำทางของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ทำให้ปีกวัย 26 ปีถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในตัวริมเส้นที่ดีที่สุดในยุโรป ผ่านการพิสูจน์ตัวเองด้วยการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอคัพ 1 สมัย และ ลีกคัพ 5 สมัย รวมทั้งรองแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก และ ยูโร 2020 กับทีมชาติอังกฤษ

สำหรับความท้าทายในซีซันนี้ของ สเตอร์ลิง คือการมี แจ็ค กรีลิช ที่ถูกดึงมาร่วมทีมด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 100 ล้านปอนด์มารอแย่งตำแหน่งตัวจริงด้านกราบซ้าย แต่ด้วยการที่เขาสามารถโยกไปเล่นด้านขวาได้ด้วยก็อาจทำให้ทั้งคู่ได้ลงสนามร่วมกันได้ในอนาคต

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : คริสเตียโน โรนัลโด้ - สถิติใน พรีเมียร์ลีก : 197 นัด 86 ประตู 45 แอสซิสต์

FBL-EUR-C1-YOUNG BOYS-MAN UTD
FBL-EUR-C1-YOUNG BOYS-MAN UTD / FABRICE COFFRINI/Getty Images

การคืนสู่เหย้าของ คริสเตียโน โรนัลโด้ นับว่าเป็นเรื่องที่สร้างความฮือฮาและสร้างกระแสให้ พรีเมียร์ลีก ได้อย่างมาก หลังจากที่หายหน้าหายตาไปนานถึง 12 ปี

เจ้าของหมายเลข 7 ของทีม ปีศาจแดง ประเดิมสนามให้กับทีมไปแล้ว 2 นัดทำได้ 3 ประตู ซึ่งนี่คือคำตอบที่ว่าทำไม โอเล กุนนาร์ โซลชา จึงต้องดึงอดีตเพื่อนร่วมทีมรายนี้กลับมาช่วยสร้างความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

เรื่องความสำเร็จไม่ต้องพูดถึงแค่แชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก 5 สมัย, แชมป์ลีกใน อังกฤษ, สเปน และ อิตาลี รวมกัน 7 สมัย รวมทั้งการคว้า 5 รางวัลบัลลงดอร์ ก็สามารถการันตีเรื่องระดับฝีเท้าได้เป็นอย่างดี และนี่คือความหวังในการกลับคืนสู่บัลลังก์แชมป์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้

ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ : ซน เฮือง-มิน - สถิติใน พรีเมียร์ลีก : 200 นัด 72 ประตู 43 แอสซิสต์

Son Heung-min
Tottenham Hotspur v Watford - Premier League / Catherine Ivill/Getty Images

ซน ย้ายจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน มาเล่นใน พรีเมียร์ลีก ให้กับ สเปอร์ส เมื่อปี 2015 และใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่สโมสรขาดไม่ได้

การที่สามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่งในแนวรุกนอกจากการประจำการริมเส้นฝั่งซ้าย เจ้าตัวยังสามารถโยกมาด้านขวา เล่นเป็นกองหน้าตัวต่ำ เพลย์เมคเกอร์ หรือแม้แต่หน้าเป้าก็ยังเคยลองมาหมดแล้ว โดยเฉพาะเมื่อซีซันก่อนที่จับคู่กับ แฮร์รี เคน ในแผงกองหน้ายิงประตูกันระเบิดเถิดเทิงสวนทางกับผลงานของทีม

ในซีซันนี้ สเปอร์ ออกตัวได้ดีด้วยการมี 9 คะแนนจาก 4 นัด แถม เคน ก็ยังเปลี่ยนใจขอรับใช้สโมสรต่อไป นั่นทำให้ ซน ยังคงมีลุ้นที่จะประสบความสำเร็จบนเส้นทางอาชีพของเขาภายใต้การทำงานของผู้จัดการทีมคนใหม่อย่าง นูโน เอสปิริโต้ ซานโต้ ได้เหมือนกัน


สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น! *ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด