[OPINION] เจาะเบื้องหลังความยิ่งใหญ่กับแชมป์ 8 สมัยติดต่อกันของ บาเยิร์น มิวนิค
โดย ชยพล ธานีวัฒน์
แฟนบอลหลายคนอาจมองว่าฟุตบอล บุนเดสลีกา นั้นเป็นลีกที่สุด ‘น่าเบื่อ’ เนื่องจากการผูกขาดแชมป์ของ บาเยิร์น มิวนิค ทีมดังจากแคว้นบาวาเรีย
อย่างไรก็ตามท่ามกลางความน่าเบื่อนั้น ต้องยอมรับว่า ‘เสือใต้’ คือทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอลเยอรมนีและพวกเขายังเป็น ‘ท็อปเท็น’ ของยุโรปมาตลอดหลายสิบปีด้วยความสำเร็จอันล้นหลามนับตั้งแต่ที่ลีกเมืองเบียร์ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1963 ซึ่งพวกเขาคว้าแชมป์ทั้งหมด 28 สมัยทิ้งห่าง โบรุสเซียร์ ดอร์ทมุนด์ และ โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค ที่ครองไปแค่คนละ 5 สมัยเท่ากันแบบสุดกู่
ล่าสุด บาเยิร์น ก็เพิ่งสร้างความ ‘น่าเบื่อ’ ให้กับแฟนบอลอีกครั้งด้วยการเข้าป้ายคว้าแชมป์ บุนเดสลีกา สมัยที่ 28 และเป็นแชมป์สมัยที่ 8 ติดต่อกันไปครองอย่างยิ่งใหญ่ในขณะที่ยังเหลือการแข่งขันอีก 2 เกม
การเป็นแชมป์สำหรับ ‘พี่เสือ’ อาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่การเป็นแชมป์ติดต่อกัน 8 สมัยนั้นต่อให้เป็นทีมที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ขนาดไหนมันก็คงจะเป็นเรื่องยากในยุคที่ฟุตบอลมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้
จุดเริ่มต้นของสถิติที่ยากจะหาใครเทียบต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 ซึ่งตอนนั้นถือได้ว่า ‘พี่เสือ’ เป็นทีมที่พีคเกือบทุกตำแหน่ง
ไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปป์ ลาห์ม, บาสเตียน ชไวสไตรเกอร์, อาร์เยน ร็อบเบน และ ฟรองค์ ริเบรี ทั้งหมดนี้คือนักเตะระดับ ‘ซุปเปอร์สตาร์’ ของฟุตบอลยุโรปและของโลกในตอนนั้นก็ว่าได้ เพราะพวกเขาไม่เพียงแค่เป็นแชมป์ลีกในประเทศ แต่ยังประกาศศักดาด้วยการล้ม ดอร์ทมุนด์ ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ครองแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 5 ได้อีกด้วย ซึ่งสตาร์เหล่านั้นก็ ‘พีค’ อย่างต่อเนื่องใน 2-3 ปีต่อมา
เมื่อตัดกลับมาที่ปัจจุบันกลุ่มนักเตะเหล่านั้นอำลาทีมไปจนหมด แต่ บาเยิร์น มิวนิค ที่สะดุดไปบ้างในยุคของ นิโก้ โควัช ก็ไม่ได้มีปัญหากับการหาคนมาแทนที่ 4 ตำนานที่อาจกล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 120 ปีในประวัติศาสตร์สโมสร
อย่างไรก็ตามฟอร์มการเล่นในสนามอาจจะดูไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อปีที่แล้วที่พวกเขาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 7 พร้อมด้วยถ้วย เดเอฟเบ โพคาล บาเยิร์น ก็ไม่ได้โชว์ความโดดเด่นอะไร แถมยังดูกระท่อนกระท่อนขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดทั้งปี มันจึงก่อให้เกิดคำถามเมื่อตอนจบฤดูกาลว่า หรือนี่จะถึงจุดสิ้นสุดของความยิ่งใหญ่ของพวกเขา
หากแต่สิ่งที่เราได้เห็นนั้นเป็นคำตอบในตัวเองแล้วว่า ไม่ใช่เลย พวกเขาแค่ทำงานที่ต้องทำสำเร็จลุล่วงไปแล้วแค่นั้น
ฟอร์มการเล่นของ ‘พี่เสือ’ เมื่อช่วงต้นฤดูกาลก็ไม่ได้เลิศหรู ความกระท่อนกระแท่นที่เราได้เห็นเมื่อซีซันก่อนยังคงเดินทางอย่างต่อเนื่องมากับทีมในซีซันนี้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว โควัช ก็โดนอัปเปหิออกจากตำแหน่งหลังจากเริ่มซีซันไปไม่นาน ในขณะที่ทีมรั้งอันดับ 4 ของตารางตามหลังจ่าฝูงอยู่ 4 คะแนน
จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึง เมื่อมีชื่อยอดโค้ชหลายคนเข้ามาอยู่ในลิสต์ของผู้บริหารทีม เสือใต้ แต่พวกเขากลับไว้ใจให้ ฮันชี ฟลิค ทำหน้าที่กุนซือชั่วคราวซึ่งเจ้าตัวก็ค่อย ๆ ปลุกปั้นทีมในแบบของตัวเองจนกลับมารั้งตำแหน่งจ่าฝูงและกุมหัวใจบรรดาคนใส่สูทของสโมสรไว้ได้ ทำให้ได้รับสัญญาคุมทีมถาวร 3 ปีเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ผลงานของ ฟลิค ตอนเป็นมวยแทนนั้นแม้จะยังไม่คงเส้นคงวามาก แต่พวกเขาก็มาติดเครื่องเดินหน้าฆ่ามันกันในช่วงเดือนธันวาคมด้วยสถิติชนะ 17 นัดจาก 18 เกมหลังสุดและกวาด 3 คะแนนจาก 11 นัดสุดท้ายด้วยฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงและเลิศหรู
บาเยิร์น กลับมาเป็นทีมที่น่าเกรงขามอีกครั้งแและแทบจะไม่มีจุดอ่อน ซึ่งสมควรจะมอบเครดิตมหาศาลเหล่านี้ให้กับ ฟลิค ที่ทำการเปลี่ยนแปลงทีมด้วยการสร้างนักเตะเจเนอเรชันใหม่ซึ่งกลายเป็นความสำเร็จอันน่าทึ่งและสำหรับผู้คนในเยอรมนีนั้นพวกเขาคือทีมที่น่ากลัวอย่างแท้จริง
โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ตอนนี้อายุย่างเข้า 31 ปีไปแล้วแต่ไม่มีสัญญาณของความเชื่องช้าออกมาให้เห็น โดยเจ้าตัวจัดการซัดไป 31 ประตูเฉพาะใน บุนเดสลีกา ซึ่งเป็นสถิติส่วนตัวที่ดีที่สุดของเขา
นอกจากนั้น ฟลิค ยังทำให้ โธมัส มุลเลอร์ กลับมาเฉิดฉายในวัย 30 ปีด้วยการทำลายสถิติแอสซิสต์ของ เควิน เดอ บรอยน์ ที่เคยทำไว้กับ โวล์ฟบวร์ก ลงได้ รวมทั้ง มานูเอล นอยเออร์ ที่เหนียวหนึบอีกครั้งหลังจากที่ฟอร์มหลุดไปในช่วงก่อนหน้านี้
แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่ ฟลิค ทำคือเขาได้สร้างทีมของคนรุ่นใหม่ที่หิวกระหายความสำเร็จ
เยอโรม บัวเต็ง อาจจะได้ลงสนามอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง แต่นั่นเป็นพราะอาการบาดเจ็บที่เอ็นไขว้กน้าของ นิคลาส ชือเล และนักเตะค่าตัวแพงที่สุดเป็นสถิติสโมสรอย่าง ลูกาส์ เแอร์กนองเดซ ก็ปิดเทอมยาวไปเรียบร้อย นั่นจึงทำให้เจ้าหนู อัลฟองโซ เดวีส์ ในวัย 18 ปีได้ลงสนามโชว์ของจนได้รับการกล่าวขานว่านี่คือ ‘ว่าที่แบ็คซ้ายที่ดีที่สุดในโลก’
โจชัวร์ คิมมิช ที่ครั้งหนึ่งเฉิดฉายในตำแหน่งแบ็คขวาก็ถูกปรับมาเล่นเป็นมิดฟิลด์และทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วน แซร์จ กนาบรี้ และ คิงส์ลี โกม็อง ถูกสถานปนาเป็นปีกที่สุดอันตรายและมีข่าวว่าอาจจะได้ตัว เลรอย ซาเน จาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เดินทางมาสมทบอีกคนในซีซันหน้าด้วย
กองหน้าดาวรุ่งวัย 19 ปีอย่าง โจชัว เซิร์คซี ก็ได้รับโอกาสลงสนามแทนที่ เลวานดอฟสกี้ ช่วงท้ายเกม ซึ่งก็ทำสถิติที่น่าทึ่งด้วยการยิงประตูได้ทุก ๆ 68 นาที
นี่คือรูปลักษ์ใหม่ของ บาเยิร์น มิวนิค นี่คือความรู้สึกใหม่ ๆ ในทีม และพวกเขาได้ก้าวข้ามตำนานบทเก่า ของสโมสรเพื่อสร้างหน้าประวัติศาสตร์ของตัวเองได้แล้ว
พวกเขาคือสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในเยอรมนี สามารถคว้าแชมป์ บุนเดสลีกา ได้แม้ว่าจะแลดูขี้ริ้วขี้เหร่ในยุคของ นิโก้ โควัช รวมทั้งการทุ่มเงินมหาศาลในช่วงซัมเมอร์ของ โบรุสเซย ดอร์ทมุนด์ เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา และการโชว์ฟอร์มอันน่าประทับใจของ เสือเหลือง และ แอร์เบ ไลป์ซิก
ในตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่หยุดเพียงแค่การเป็นแชมป์ติดต่อกัน 8 สมัย การสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นแชมป์สมัยที่ 9, 10 และ 11คงอยู่ไม่ไกล ซึ่งมันก็เพิ่งเริมต้นเท่านั้น
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด