แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-3 เชลซี : เก็บตก 5 ประเด็นร้อนหลังเกม เอฟเอ คัพ รอบ 4 ทีมสุดท้าย สิงห์บลู ทะลุเข้าชิง
ข้อมูลการแข่งขัน
การแข่งขัน : ฟุตบอล เอฟเอ คัพ รอบ 4 ทีมสุดท้าย
วันแข่งขัน : คืนวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2020
เวลาแข่งขัน : 00.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ผลการแข่งขัน : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-3 เชลซี
สนาม : เวมบลีย์
1. รูปเกมที่ เชลซี ทำได้ดีกว่าค่อนข้างชัดเจน
เกมวันนี้แม้ตัวเลขสถิติการครองบอลของทั้งสองทีมจะใกล้เคียงกัน แต่หากใครได้ดูการถ่ายทอดสดในนัดนี้จะเห็นได้ชัดเลยว่า สิงโตน้ำเงินคราม ของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ทำได้ดีกว่าตั้งแต่ต้นเกมไปจนจบ 90 นาที รวมไปถึงตัวเลขสถิติต่าง ๆ ทั้งการเข้าทำ (เชลซี 13 เข้ากรอบ 7 / แมนฯ ยูไนเต็ด 7 เข้ากรอบ 3) การเข้าปะทะ (เชลซี 14 / แมนฯ ยูไนเต็ด 7) การเลี้ยงผ่านคู่แข่ง (เชลซี 14 / แมน ฯ ยูไนเต็ด 8) ตัวเลขเหล่านี้กับรูปเกมที่ออกมามันจึงบ่งบอกได้ชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้วว่า สิงห์บลู ทำได้ดีกว่าและสมควรได้ไปต่อในค่ำคืนนี้
2. การจัดตัวแบบอินดี้ของทั้ง โชลชา และ แลมพาร์ด
แม้ทั้งสองทีมจะเคยทดลองใช้แผนเซ็นเตอร์แบ็ค 3 คนมาบ้างแล้วในช่วงฤดูกาลที่ผ่านมา แต่แฟนบอลของทั้งคู่จะรู้ดีว่า มันไม่ใช่แผนการเล่นหลักที่ทำให้ทีมทำผลงานได้ดีจนมาถึงทุกวันนี้ เพราะเดิมทีทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี ใช้แผนการเล่นแบบ 4-3-3 มาโดยตลอดในช่วงหลัง แต่หลังจากไลน์อัพในเกมนี้ออกมา ทั้งสองทีมกลับเล่นโดยใช้แผนวิงแบ็ค+เซ็นเตอร์ 3 ตัว โดย ปีศาจแดง เล่นในระบบ 3-5-2 ส่วน สิงห์บลู เล่นในระบบ 3-4-3 นี่จึงอาจเป็นส่วนทำให้เกมในช่วงครึ่งเวลาแรกดูน่าเบื่อชวนหลับพอสมควรเพราะบอลส่วนใหญ่เน้นสู้กันที่แดนกลางเป็นหลักนั่นเอง
3. แม็คไกวร์ เล่นไม่สมค่าตัว (อีกแล้ว)
เกมนี้หนึ่งคนที่มีส่วนกับความผิดพลาดจนส่งผลให้ทีมพ่ายแพ้มากที่สุดคนหนึ่งก็คือ แฮร์รี แม็คไกวร์ กองหลังดีกรีค่าตัวแพงที่สุดในโลก ซึ่งวันนี้นอกจากดูจะมีปัญหาในการประกบผู้เล่นอย่าง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ แล้ว เจ้าตัวยังเป็นสังหาร เอริค ไบญี ให้กลับเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้งในช่วงท้ายครึ่งแรกจากจังหวะขึ้นโหม่งแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ แถมในครึ่งหลังเขายังเป็นผู้ทำประตูฝังทีมตัวเองด้วยการสะกัดผิดเหลี่ยมเข้าประตูไปอีกต่างหาก
ซึ่งนี่ไม่ใช่เกมแรกที่เซ็นเตอร์ค่าตัว 80 ล้านปอนด์ฟอร์มเริ่มออกทะเล เพราะดูเหมือนว่าหลายเกมก่อนหน้านี้เจ้าตัวก็เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นมากสักพักหนึ่งแล้ว แต่ยังดีที่วันก่อน ๆ แนวรุกสามารถผลิดสกอร์ได้เป็นกอบเป็นกำจนกลบจุดอ่อนในเกมรับให้ดูเบาบางลงไป แต่เมื่อวันใดที่เกมรุกไม่ทำงาน ความผิดพลาดเช่นนี้จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นปัญหา และมันสามารถชี้ขาดผลการแข่งขันได้ดังเช่นในเกมค่ำคืนนี้
4. บรูโน เป็นทุกอย่างมากเกินไป
เป็นอีกนัดที่เราเห็นได้ชัดเจนว่า โอเล กุนนาร์ โซลชา วางแผนมาให้ บรูโน เฟอร์นันเดส เป็นทุกอย่างของทีมแต่เพียงผู้เดียว ทั้งเชื่อมเกม ล้วงบอล โฮลด์บอล ออกบอล แถมยังต้องไล่บอลช่วยเกมรับ หรือบางครั้งยังต้องสอดเข้าเขตโทษหาโอกาสจบสกอร์เองอีก ซึ่งแน่นอนเพลย์เมกเกอร์รายนี้สามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้ แต่...
การที่ฟุตบอลลงเตะต่อเนื่องสัปดาห์ละ 2-3 เกมติดต่อกันเป็นแรมเดือน นั่นย่อมส่งผลถึงสภาพร่างกายและพละกำลังของนักเตะ ซึ่งนั่นคือปัญหาที่ บรูโน กำลังเผชิญอยู่ ผลจากการเป็นคีย์แมนอันดับหนึ่งจนทีมขาดเขาไปไม่ได้และจำเป็นต้องส่งลงสนามทุกเกมเพราะทุกนัดล้วนมีความหมาย นั่นจึงทำให้ฟอร์มของเขาเริ่มดร็อปลงในช่วงหลายนัดหลัง รวมถึงเกมนี้ที่เห็นได้ชัดว่าถึงความเหนื่อยล้าจากการกรำศึกหนักมาต่อเนื่องนั่นเอง
5. ชิรูด์ แจ้งเกิดกับทีมได้อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ใครหลายคนแม้แต่แฟนบอล เชลซี เอง ต่างก็มองว่ากองหน้าอย่าง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ คงหมดไฟ และหมดอนาคตกับทีมเป็นที่เรียบร้อย แต่แล้วอดีตหัวหอกจาก อาร์เซนอล รายนี้ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ายังมีดีอยู่ในตัวอีกมาก ด้วยผลงานการถล่มประตูให้กับทีมได้อย่างเป็นกอบเป็นกำในช่วงหลัง รวมถึงการทำประโยชน์และสร้างสรรค์เกมในฐานะกองหน้าตัวเป้า ที่แม้จะไม่มีความเร็วความคล่องตัวเหมือน แทมมี อับราฮัม แต่มันก็ถูกแทนที่ด้วยความแข็งแกร่งและประสบการณ์ที่สามารถงัดออกมาใช้ได้ค่อนข้างถูกเวลา จนทำให้ในที่สุดเจ้าตัวสามารถเบียดยึดตำแหน่งตัวจริงคืนมาได้อย่างต่อเนื่องพร้อมกับแจ้งเกิดในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ อย่างเป็นทางการอีกครั้งด้วยวัย 33 ปีเต็ม !
สนับสนุนบทความของแท้ไม่ก็อปปี้ต้อง 90min.com เท่านั้น!*ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความหรือรูปภาพไม่ว่าวิธีใดๆ หากฝ่าฝืนมีความผิดตามกฏหมายที่ระบุไว้สูงสุด